วังเวียง-หลวงพระบาง กลางสายฝน
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- meble kuchenne - tworzymyatmosfere.pl
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
เมื่อต้นเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสแวะกลับไปเยี่ยมเมืองโปรดของผมอีกครั้งนึง ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะในครั้งแรกนั้นผมใช้การเดินทางโดยทางเรือจาก เชียงของ จังหวัดเชียงรายเดินทางใช้เวลา 2 วัน ถึงจะถึงหลวงพระบาง กลับเข้าไทยทางจังหวัดหนองคาย ครั้งที่ 2 เดินทางโดยรถทัวร์จากเชียงใหม่ไปหนองคาย เข้าเวียงจันทร์ กลับเส้นทางเดิมในครั้งที่ 3 นี้ ผมเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร สู่หนองคายข้ามไปลาวมุ่งตรงสู่หลวงพระบาง เส้นทางกลับก็เหมือนเดิมคับ
ทริปนี้ผมให้ชื่อว่า วังเวียง-หลวงพระบาง กลางสายฝน เพราะว่าเราไปกันทั้งหมด 5 วัน ฝนตกไป 3 วันและก็ตกแบบไม่หยุด ปรอยๆทั้งวันตลอด 3 วันเลย
เอารูปมาให้ชมสักเล็กน้อยก่อนนะครับ เดี๋ยวไปเขียนเรื่องก่อน ใครที่จะไปทริปตอนปลายปีด้วยกันก็อ่านกระทู้นี้เป็นข้อมูลได้นะครับ
ทริปนี้ผมให้ชื่อว่า วังเวียง-หลวงพระบาง กลางสายฝน เพราะว่าเราไปกันทั้งหมด 5 วัน ฝนตกไป 3 วันและก็ตกแบบไม่หยุด ปรอยๆทั้งวันตลอด 3 วันเลย
เอารูปมาให้ชมสักเล็กน้อยก่อนนะครับ เดี๋ยวไปเขียนเรื่องก่อน ใครที่จะไปทริปตอนปลายปีด้วยกันก็อ่านกระทู้นี้เป็นข้อมูลได้นะครับ
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
วังเวียง-หลวงพระบาง ท่ามกลางสายฝน
สวัสดีพี่น้องชาว FreedomDIVE ทุกท่านครับ
เพื่อนๆมีสถานที่หรือเมืองอย่างนี้หรือเปล่า เมืองที่เราได้พักผ่อน ปล่อยเรื่องต่างๆไว้ข้างหลัง อยู่กับตัวเอง ที่ที่เราสามารถทำตัวอย่างที่เราต้องการ ทำในสิ่งที่เราอยากที่จะทำ ไปในที่ที่เราอยากที่จะไป เมืองที่หัวใจเราได้ผักผ่อน แต่ละท่านคงมีอยู่ในใจกันทุกคนสำหรับผมสถานที่แห่งนั้นคือ หลวงพระบาง
ตอน หมอชิต 2
ทริปนี้ผมและเพื่อนๆมีกันทั้งหมด 5 ชีวิต มีผมหล่อที่สุดในกลุ่ม (เพราะว่าเป็นผู้ชายคนเดียว อิอิ)เราออกเดินทางในตอนเย็นวันศุกร์ที่ 3 โดยเจอกันที่หมอชิต ตามตั๋วที่จองเอาไว้รถจะต้องออกจากหมอชิตเวลา 20.25 ผมไปถึงรถไฟฟ้าหมอชิตเวลา 20.00 ในใจก็คิดว่า 10 นาทีก็ถึงสถานีขนส่งหมอชิตแล้ว
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ครับ เพราะว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดยาว 5 วันใครๆก็ออกจากกรุงเทพ ผมเรียกรถแท็กซี่คันไหนก็ไม่มีใครไปเพราะว่าใกล้และรถติดมาก แล้วผมก็เห็นแท็กซี่คันหนึ่ง ป้ายขึ้นว่าว่างด้วย ผมรีบโปกมือเรียกแต่ว่ามีมีอข้างหนึ่งยื่นออกมาก่อนหน้าผม หญิงสาวผู้นั้นมีกระเป๋า 2 ใบเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไปหมอชิตแน่ ในใจเราก็ลุ้นว่าเค้าจะได้ไปไหมนะ เพราะว่าคันต่อไปจะได้เป็นของเรา แต่อีกใจก็คิดว่าไม่น่าได้เพราะเราเรียกตั้งนานแล้วยังไม่ได้เลย
แล้วเธอคนนั้นก็ก้าวขึ้นไปบนรถ แล้วรถคันนั้นก็ผ่านหน้าเราไป แล้วก็จอด น้องคนนั้นก็เปิดประตูออกมาแล้วกวักมือเรียกพวกเรา "ไปหมอชิตรึเปล่าคะ ไปด้วยกันไหมคะ" โอ้เหมือนแม่พระมาโปรด อยากจะกระโดดเข้าไปหอมสักฟอดใหญ่ๆ แต่กลัวน้องเค้าจะหาว่าลามก พวกเรารีบก้าวขึ้นรถด้วยความเร็ว พี่แท็กซี่ก็รีบออกตัวด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าเราบอกเค้าว่ารถเราจะออกแล้ว พี่เค้าก็รีบให้เรา แถมด้วยการด่ารถข้างๆที่ไม่ให้ทางบ้าง ด่าเรื่องรถติดบ้าง นั่นนี้ตลอดทาง แต่เค้าก็ใจดีรับเรานะ
ผมเหลือบมองเวลา เอ้ย 20.25 แล้วแต่ว่าเรายังอยู่หน้า JJ Mall อยู่เลย ทำยังไงดีรีบบอกเพื่อนอีกกลุ่มให้เอาขาขัดพนักงานขับรถไว้ก่อน หรือว่าแอบปล่อยลมยางถ่วงเวลาเอาไว้ พี่ครับลุยด่วนไม่ทันแล้ว"ได้เลย ไอ้น้อง" ปรู๊ด ปราด (เสียงขับรถ อย่าคิดว่าเป็นอย่างอื่น) ถึงหน้าหมอชิตแล้ว 20.35 "พี่ไม่ต้องเข้าไปข้างในแล้ว เท่าไหร่พี่" หน้าจอมิเตอร์โชว์ว่า 65 บาทผมยื่นให้ไป 60 บาท พี่เค้ามองหน้า (ในใจคิดว่าไอ้นี่มันวอนซะแล้ว) แล้วผมก็ยื่นแบงค์ร้อยให้อีก แล้วบอกว่า "อันนี้ให้พี่ครับ น้ำใจพี่งามมาก" (แม้จะบ่นตลอดทางจนน่ารำคาญก็ตาม)
แล้วพวกเราก็รีบลากสังขารและสัมภาระ เข้าไปข้างใน โอ้คนเป็นแสนเค้าจะไปไหนกันเนี้ยหรือว่าที่นี้มีงานชุมนุน...อย่าไปพูดถึงเค้าเลยครับ คนเยอะมากครับ ผมเห็นคนเยอะขนาดนี้ในใจก็คิดว่า เอาไงดีวะไข้หวัด 2009 กำลังระบาดหนักพอดี เราก็ไม่ได้เอาหน้ากากมาด้วย มีแต่ถุงเท้าจะเอามาใช้ก็กะไรอยู่ พาตัวเองเบียดเสียดเข้าไปจนไปถึงอีกด้านของชานฉลา จุดที่รถจะต้องมารับเรา ผู้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม
โน้นไงเพื่อนอยู่ตรงนั้น แสดงว่าแผนการขัดขาสำเร็จ ผมรีบเบียดตัวเข้าไปหาเพื่อน แล้วถามถึงรถที่เราจะขึ้นว่าอยู่ตรงไหน เพื่อนชี้ไปที่คนข้างๆ แล้วบอกว่า "คนนี้ไปรอบทุ่มครึ่งรถยังไม่มาเลย" ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที แสดงว่าเราไม่ได้มาสาย ไม่มีใครต้องรอเรา (ตอนนั้น 20.45 ผมเลทไป 20 นาที) อีกใจก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า เห้ย ทุ่มครึ่งรถยังไม่มาแล้วเราจะได้ไปกี่โมงฟะ รอ... รอ... หิวข้าว...รอ...ไปกินบนรถ...รอ...
และแล้ว 21.30 รถเที่ยว 20.25 ก็เข้ามาพวกเราขนของขึ้นรถจัดที่จัดทางเตรียมตัวนอน เพราะว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องเที่ยวกันอีกทั้งวัน 21.45 ล้อรถก็หมุนออกจาก กรุงเทพมหานคร นอน นอน เถอะ นอน พวกเรา...
"สวัสดีคะ ชาญเที่ยวมีความยินดีอย่างที่ได้รับใช้ ท่านที่จะเดินทางไปจังหวัดหนองคาย เราจะใช้การเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวีสดิภาพ เพราะนั่นก็หมายถึง
สวัสดิภาพของฉันเองด้วย สวัสดี ราตตีสวัสค่ะ" แล้วเค้าก็เดินเอาอาหารมาแจก ดีใจๆจะได้กินข้าวแล้ว มือขาวๆของน้องสาวยื่นของมาให้ 1 ถุง ในนั้นมี โฮมมี่ 1 ชิ้น น้ำสัมขวดเล็ก 1 ขวด และ น้ำเปล่า "........" สุดจะบรรยาย นอนหลับดีกว่า ตื่นเช้ามาก็ถึงหนองคายแล้ว
สวัสดีพี่น้องชาว FreedomDIVE ทุกท่านครับ
เพื่อนๆมีสถานที่หรือเมืองอย่างนี้หรือเปล่า เมืองที่เราได้พักผ่อน ปล่อยเรื่องต่างๆไว้ข้างหลัง อยู่กับตัวเอง ที่ที่เราสามารถทำตัวอย่างที่เราต้องการ ทำในสิ่งที่เราอยากที่จะทำ ไปในที่ที่เราอยากที่จะไป เมืองที่หัวใจเราได้ผักผ่อน แต่ละท่านคงมีอยู่ในใจกันทุกคนสำหรับผมสถานที่แห่งนั้นคือ หลวงพระบาง
ตอน หมอชิต 2
ทริปนี้ผมและเพื่อนๆมีกันทั้งหมด 5 ชีวิต มีผมหล่อที่สุดในกลุ่ม (เพราะว่าเป็นผู้ชายคนเดียว อิอิ)เราออกเดินทางในตอนเย็นวันศุกร์ที่ 3 โดยเจอกันที่หมอชิต ตามตั๋วที่จองเอาไว้รถจะต้องออกจากหมอชิตเวลา 20.25 ผมไปถึงรถไฟฟ้าหมอชิตเวลา 20.00 ในใจก็คิดว่า 10 นาทีก็ถึงสถานีขนส่งหมอชิตแล้ว
แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ครับ เพราะว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดยาว 5 วันใครๆก็ออกจากกรุงเทพ ผมเรียกรถแท็กซี่คันไหนก็ไม่มีใครไปเพราะว่าใกล้และรถติดมาก แล้วผมก็เห็นแท็กซี่คันหนึ่ง ป้ายขึ้นว่าว่างด้วย ผมรีบโปกมือเรียกแต่ว่ามีมีอข้างหนึ่งยื่นออกมาก่อนหน้าผม หญิงสาวผู้นั้นมีกระเป๋า 2 ใบเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไปหมอชิตแน่ ในใจเราก็ลุ้นว่าเค้าจะได้ไปไหมนะ เพราะว่าคันต่อไปจะได้เป็นของเรา แต่อีกใจก็คิดว่าไม่น่าได้เพราะเราเรียกตั้งนานแล้วยังไม่ได้เลย
แล้วเธอคนนั้นก็ก้าวขึ้นไปบนรถ แล้วรถคันนั้นก็ผ่านหน้าเราไป แล้วก็จอด น้องคนนั้นก็เปิดประตูออกมาแล้วกวักมือเรียกพวกเรา "ไปหมอชิตรึเปล่าคะ ไปด้วยกันไหมคะ" โอ้เหมือนแม่พระมาโปรด อยากจะกระโดดเข้าไปหอมสักฟอดใหญ่ๆ แต่กลัวน้องเค้าจะหาว่าลามก พวกเรารีบก้าวขึ้นรถด้วยความเร็ว พี่แท็กซี่ก็รีบออกตัวด้วยความรวดเร็ว เพราะว่าเราบอกเค้าว่ารถเราจะออกแล้ว พี่เค้าก็รีบให้เรา แถมด้วยการด่ารถข้างๆที่ไม่ให้ทางบ้าง ด่าเรื่องรถติดบ้าง นั่นนี้ตลอดทาง แต่เค้าก็ใจดีรับเรานะ
ผมเหลือบมองเวลา เอ้ย 20.25 แล้วแต่ว่าเรายังอยู่หน้า JJ Mall อยู่เลย ทำยังไงดีรีบบอกเพื่อนอีกกลุ่มให้เอาขาขัดพนักงานขับรถไว้ก่อน หรือว่าแอบปล่อยลมยางถ่วงเวลาเอาไว้ พี่ครับลุยด่วนไม่ทันแล้ว"ได้เลย ไอ้น้อง" ปรู๊ด ปราด (เสียงขับรถ อย่าคิดว่าเป็นอย่างอื่น) ถึงหน้าหมอชิตแล้ว 20.35 "พี่ไม่ต้องเข้าไปข้างในแล้ว เท่าไหร่พี่" หน้าจอมิเตอร์โชว์ว่า 65 บาทผมยื่นให้ไป 60 บาท พี่เค้ามองหน้า (ในใจคิดว่าไอ้นี่มันวอนซะแล้ว) แล้วผมก็ยื่นแบงค์ร้อยให้อีก แล้วบอกว่า "อันนี้ให้พี่ครับ น้ำใจพี่งามมาก" (แม้จะบ่นตลอดทางจนน่ารำคาญก็ตาม)
แล้วพวกเราก็รีบลากสังขารและสัมภาระ เข้าไปข้างใน โอ้คนเป็นแสนเค้าจะไปไหนกันเนี้ยหรือว่าที่นี้มีงานชุมนุน...อย่าไปพูดถึงเค้าเลยครับ คนเยอะมากครับ ผมเห็นคนเยอะขนาดนี้ในใจก็คิดว่า เอาไงดีวะไข้หวัด 2009 กำลังระบาดหนักพอดี เราก็ไม่ได้เอาหน้ากากมาด้วย มีแต่ถุงเท้าจะเอามาใช้ก็กะไรอยู่ พาตัวเองเบียดเสียดเข้าไปจนไปถึงอีกด้านของชานฉลา จุดที่รถจะต้องมารับเรา ผู้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม
โน้นไงเพื่อนอยู่ตรงนั้น แสดงว่าแผนการขัดขาสำเร็จ ผมรีบเบียดตัวเข้าไปหาเพื่อน แล้วถามถึงรถที่เราจะขึ้นว่าอยู่ตรงไหน เพื่อนชี้ไปที่คนข้างๆ แล้วบอกว่า "คนนี้ไปรอบทุ่มครึ่งรถยังไม่มาเลย" ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที แสดงว่าเราไม่ได้มาสาย ไม่มีใครต้องรอเรา (ตอนนั้น 20.45 ผมเลทไป 20 นาที) อีกใจก็ฉุดคิดขึ้นมาได้ว่า เห้ย ทุ่มครึ่งรถยังไม่มาแล้วเราจะได้ไปกี่โมงฟะ รอ... รอ... หิวข้าว...รอ...ไปกินบนรถ...รอ...
และแล้ว 21.30 รถเที่ยว 20.25 ก็เข้ามาพวกเราขนของขึ้นรถจัดที่จัดทางเตรียมตัวนอน เพราะว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องเที่ยวกันอีกทั้งวัน 21.45 ล้อรถก็หมุนออกจาก กรุงเทพมหานคร นอน นอน เถอะ นอน พวกเรา...
"สวัสดีคะ ชาญเที่ยวมีความยินดีอย่างที่ได้รับใช้ ท่านที่จะเดินทางไปจังหวัดหนองคาย เราจะใช้การเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวีสดิภาพ เพราะนั่นก็หมายถึง
สวัสดิภาพของฉันเองด้วย สวัสดี ราตตีสวัสค่ะ" แล้วเค้าก็เดินเอาอาหารมาแจก ดีใจๆจะได้กินข้าวแล้ว มือขาวๆของน้องสาวยื่นของมาให้ 1 ถุง ในนั้นมี โฮมมี่ 1 ชิ้น น้ำสัมขวดเล็ก 1 ขวด และ น้ำเปล่า "........" สุดจะบรรยาย นอนหลับดีกว่า ตื่นเช้ามาก็ถึงหนองคายแล้ว
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
ใจเย็นครับ ผมกะว่าจะเขียนสักเดือนนึง ให้ทุกท่านได้ติดตามกัน แล้วค่อยรวบรวมเย็บเล่มขายbb_bua เขียน: รอตอนต่อไปอยู่นะ รีบรีบเลย =_=
สงสัยกว่าจะถึงหลวงพระบาง
คงอีกนานนนนนนนนนนน
ปล. ถามจริงๆ จะใช้ถุงเท้าแทนหน้ากากจิงจิงหรออออ :00:
(จะให้อาทกับเอิร์ทนั่งเย็บเล่มให้ อิอิ)
เรื่องถุงเท้าคงเป็นได้แค่จิตนาการครับ ใครจะเอาไปทำจิงละคุณ หรือว่าคุณบัวอยากเป็นผู้นำเทรน
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
ตอน หนองคายบ้านเรา เวียงจันทร์บ้านเค้า 1
6.30 เป็นเวลาที่ผมเดินทางถึงที่หมายแรกคือ บขส.หนองคาย เพื่อที่จะขึ้นรถระหว่างประเทศ หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทร์ ราคา 75 บาทต่อคน รถเที่ยวแรกที่ออกจากหนองคายไปเวียงจันทร์คือเวลา 7.30 เรามาเช้าอย่างนี้ทันอยู่แล้ว ผมรีบขนของลงจากรถแล้วไปเข้าคิวซื้อตั๋ว เพื่อนสาวๆต่างรีบกันไปเข้าห้องน้ำ คงอยากเอาของฝากจากกรุงเทพมาฝากห้องน้ำที่หนองคาย ไม่รู้จะพกมากันทำไม ส่วนผมรีบต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วครับ และแล้วก็ถึงคิวผม "ซื้อตั๋ว 5 ใบครับ" ลุงแกบอกว่า "ขอ Passport ด้วยครับ" ผมรีบยื่นให้ทันที ลุงก็ยังทำให้แปลกๆ แล้วบอกว่าต้องเอาของทุกคนเลย อ๋อ อย่างนี้นี่เองวิ่งสิครับ คราวนี้ พอไปถึงจุดที่เราวางของไว้ผมก็ถามเพื่อนว่ายังไม่ออกจากห้องน้ำมากันเหรอ คนที่เฝ้าของอยู่ส่ายหน้าทันที ประมาณ 10 นาทีผมก็รวบรวม Passport ได้ครบ ผมรีบกลับไปซื้อตั๋วอีกที พอไปถึงลุงแกก็ยิ้มรับแล้วตอบกลับมาว่าตั๋วเที่ยวเก้าโมงครึ่งนะครับ ผมตกใจอย่าแรงเหมือนกับถูกคนเหยียบหาง "แล้วเที่ยวเจ็ดโมงครึ่งละครับ" "เต็มไปแล้วครบรถมีคันเดียว" ผมตกใจอย่างแรงอีกครั้งเหมือนถูกคนเหยียบหางซ้ำๆลงมาที่เดิม เกิดอาการวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลม ทำยังไงดีละนี่ขนาดว่าเรามาเร็วแล้วนะเนี้ย แผนที่คาดการไว้เลื่อนไปหมด ตอนนี้ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าเลยจะให้รอรถเที่ยวต่อไปก็เสียเวลามากเกินไป
พวกเราจึงตัดสินใจเหมารถสกายแล็ปไปที่สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาวเพื่อจะข้ามต่อไปยังเวียงจันทร์ ค่ารถที่เราเหมาไปประมาณ 150 บาท ผมจึงจิตนาการว่าต้องไปไกลพอสมควร แต่ที่ไหนได้ลุงเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปมาสักพักก็ถึงแล้ว ผมประมาณการว่าระยะทางไม่น่าจะเกิน 5 กิโลเมตรแต่มาลองคิดอีกที พวกเรามีกัน 5 คน หารแล้วตกคนละ 30 บาท อืม... ก็ โอเค เราไม่มีทางเลือกแล้วนี้ เมื่อถึงสะพานมิตรภาพแล้วผ่าน ต.ม.เรียบร้อยโดยใช้เพียง Passport อย่างเดียวครับไม่ต้องของวีซ่า แล้วก็ต่อรถเชื่อมระหว่างสะพาน (คือวิ่งเฉพาะบนสะพานนี้เท่านั้นครับ) ค่าบริการเที่ยวละ 20 บาทต่อคน ถึง ต.ม.ของลาว
เราก้าวลงจากรถได้พักเดียวก็มีพี่คนลาวเข้ามาถามว่าจะไปที่ไหน มีรถหรือยัง มีแฟนหรือป่าว แฟนมาด้วยไหม (อันหลังนี่ไม่เกี่ยวครับ 55)เราก็บอกไปว่าเราจะไปวังเวียงครับ พี่แกก็อาสาจะไปส่ง คือจ้างแกไปส่งไหมนั้นแหละครับ ต่อรองราคากันไปมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็เลยไม่เอาครับ พี่คนลาวก็ไม่ยอมลดละ"งั้นให้ผมไปส่งในเมืองไหม" ผมก็มาคิดในใจ คราวที่แล้วเรามารถระหว่างประเทศ (พูดแล้วเหมือนดูดีนะครับ แต่ก็เป็นรถประจำทางติดแอร์นั่นแหละ เพราะว่าวิ่งประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว) ใช้เวลาเดินไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงในตัวเมือง ผมคิดว่าเราไปเองก็น่าจะได้มั้ง ผมถามพี่แกว่าไปอีกไกลไหมครับ ว่าจะเดินไปเพราะว่าพวกเราเดินป่ากันบ่อย "ก็ไม่ไกลเหรอคครับ แค่ 22 กิโลเอง" ผมตอบกลับไปทันควัน "ตกลงครับ ผมไปกับพี่ เท่าไหร่ครับ จริงๆแล้ว ผมก็เดินไปเองก็ได้นะครับแต่ว่าอยากจะกระจายรายได้สู่ชุมชน หุหุ" พี่เค้าให้ราคามา 400 บาท ต่อรองกันไปมา เรื่องต่อราคาต้องให้ผม สรุปเราได้ราคาที่ 400 บาท T_T น้ำมันมันแพงขึ้นครับต้องเห็นใจพี่เค้า ไหนจะลูกเมียที่บ้านอีก ผมเป็นคนใจดีเลยให้เค้าไป กร๊ากกกกกก (เพื่อนๆที่ไม่อยากมีค่าให้จ่ายส่วนนี้ที่จริงแล้วก็มีรถประจำทางเข้าไปในตัวเมืองนะครับ แต่ว่าผมมีกันหลายคน บวกลบแล้วพอกันก็เลยไปด้วยการเหมารถไป อยากช่วยพี่เค้าด้วย--ไม่เลิกๆ 55--)
ช่วงจังหวะที่ผมต่อรองกับพี่เค้าอยู่ก็มีรถประจำทางระหว่างประเทศมาจอด พาคนมาเยอะแยะ แค่ละคนก็รีบลงเพื่อไปตรวจหน้าตาว่าดีพอจะเข้าประเทศลาวได้ไหม พวกเราก็ไปต่อคิดผ่าน ต.ม.บ้าง (ไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าตาผ่านอยู่แล้ว) ชึ่งมีอยู่แค่ 2 ช่อง ระหว่างที่เราต่อคิวกันอยู่ พี่คนขับรถเราเห็นว่า แถวยาว กลัวว่าพวกเราอาจจะต้องรอกันนาน พี่แกมากระซิบ "ให้ผมลัดคิวให้ไหม เร็วกว่า แต่ว่าต้องจ่ายคนละ 10 บาทคับ" ทำไมเดียวนี้คนถึงเป็นอย่างนี้กันเนี้ย คนที่เค้าต่อคิวข้างหน้าจะเป็นยังไงละ ผมส่ายหน้า แล้วยื่น Passport พร้อมเงินไป 50 บาท (ก็มันไม่อยากรออะ แหะๆ) แล้วเราก็มารอด้านนอก รอไปรอมา เอ๊ะนั่นคนที่ต่อหลังเราอยู่นี่หว่า ถึงหน้า ต.ม.แล้ว ไม่น่าเลยเรารู้งี้ต่อคิวก็ดี แล้วพี่คนขับรถก็มา"ได้แล้วครับตามมาทางนี้เลย" สรุปเร็วกว่าต่อคิวประมาณ 30 วินาที ผ่าน ต.ม.ไปต่อด้วยการจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินลาวอีก 10 บาท
6.30 เป็นเวลาที่ผมเดินทางถึงที่หมายแรกคือ บขส.หนองคาย เพื่อที่จะขึ้นรถระหว่างประเทศ หนองคาย-นครหลวงเวียงจันทร์ ราคา 75 บาทต่อคน รถเที่ยวแรกที่ออกจากหนองคายไปเวียงจันทร์คือเวลา 7.30 เรามาเช้าอย่างนี้ทันอยู่แล้ว ผมรีบขนของลงจากรถแล้วไปเข้าคิวซื้อตั๋ว เพื่อนสาวๆต่างรีบกันไปเข้าห้องน้ำ คงอยากเอาของฝากจากกรุงเทพมาฝากห้องน้ำที่หนองคาย ไม่รู้จะพกมากันทำไม ส่วนผมรีบต่อคิวเพื่อซื้อตั๋วครับ และแล้วก็ถึงคิวผม "ซื้อตั๋ว 5 ใบครับ" ลุงแกบอกว่า "ขอ Passport ด้วยครับ" ผมรีบยื่นให้ทันที ลุงก็ยังทำให้แปลกๆ แล้วบอกว่าต้องเอาของทุกคนเลย อ๋อ อย่างนี้นี่เองวิ่งสิครับ คราวนี้ พอไปถึงจุดที่เราวางของไว้ผมก็ถามเพื่อนว่ายังไม่ออกจากห้องน้ำมากันเหรอ คนที่เฝ้าของอยู่ส่ายหน้าทันที ประมาณ 10 นาทีผมก็รวบรวม Passport ได้ครบ ผมรีบกลับไปซื้อตั๋วอีกที พอไปถึงลุงแกก็ยิ้มรับแล้วตอบกลับมาว่าตั๋วเที่ยวเก้าโมงครึ่งนะครับ ผมตกใจอย่าแรงเหมือนกับถูกคนเหยียบหาง "แล้วเที่ยวเจ็ดโมงครึ่งละครับ" "เต็มไปแล้วครบรถมีคันเดียว" ผมตกใจอย่างแรงอีกครั้งเหมือนถูกคนเหยียบหางซ้ำๆลงมาที่เดิม เกิดอาการวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลม ทำยังไงดีละนี่ขนาดว่าเรามาเร็วแล้วนะเนี้ย แผนที่คาดการไว้เลื่อนไปหมด ตอนนี้ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าเลยจะให้รอรถเที่ยวต่อไปก็เสียเวลามากเกินไป
พวกเราจึงตัดสินใจเหมารถสกายแล็ปไปที่สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาวเพื่อจะข้ามต่อไปยังเวียงจันทร์ ค่ารถที่เราเหมาไปประมาณ 150 บาท ผมจึงจิตนาการว่าต้องไปไกลพอสมควร แต่ที่ไหนได้ลุงเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปมาสักพักก็ถึงแล้ว ผมประมาณการว่าระยะทางไม่น่าจะเกิน 5 กิโลเมตรแต่มาลองคิดอีกที พวกเรามีกัน 5 คน หารแล้วตกคนละ 30 บาท อืม... ก็ โอเค เราไม่มีทางเลือกแล้วนี้ เมื่อถึงสะพานมิตรภาพแล้วผ่าน ต.ม.เรียบร้อยโดยใช้เพียง Passport อย่างเดียวครับไม่ต้องของวีซ่า แล้วก็ต่อรถเชื่อมระหว่างสะพาน (คือวิ่งเฉพาะบนสะพานนี้เท่านั้นครับ) ค่าบริการเที่ยวละ 20 บาทต่อคน ถึง ต.ม.ของลาว
เราก้าวลงจากรถได้พักเดียวก็มีพี่คนลาวเข้ามาถามว่าจะไปที่ไหน มีรถหรือยัง มีแฟนหรือป่าว แฟนมาด้วยไหม (อันหลังนี่ไม่เกี่ยวครับ 55)เราก็บอกไปว่าเราจะไปวังเวียงครับ พี่แกก็อาสาจะไปส่ง คือจ้างแกไปส่งไหมนั้นแหละครับ ต่อรองราคากันไปมาไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็เลยไม่เอาครับ พี่คนลาวก็ไม่ยอมลดละ"งั้นให้ผมไปส่งในเมืองไหม" ผมก็มาคิดในใจ คราวที่แล้วเรามารถระหว่างประเทศ (พูดแล้วเหมือนดูดีนะครับ แต่ก็เป็นรถประจำทางติดแอร์นั่นแหละ เพราะว่าวิ่งประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว) ใช้เวลาเดินไม่นานเท่าไหร่ก็ถึงในตัวเมือง ผมคิดว่าเราไปเองก็น่าจะได้มั้ง ผมถามพี่แกว่าไปอีกไกลไหมครับ ว่าจะเดินไปเพราะว่าพวกเราเดินป่ากันบ่อย "ก็ไม่ไกลเหรอคครับ แค่ 22 กิโลเอง" ผมตอบกลับไปทันควัน "ตกลงครับ ผมไปกับพี่ เท่าไหร่ครับ จริงๆแล้ว ผมก็เดินไปเองก็ได้นะครับแต่ว่าอยากจะกระจายรายได้สู่ชุมชน หุหุ" พี่เค้าให้ราคามา 400 บาท ต่อรองกันไปมา เรื่องต่อราคาต้องให้ผม สรุปเราได้ราคาที่ 400 บาท T_T น้ำมันมันแพงขึ้นครับต้องเห็นใจพี่เค้า ไหนจะลูกเมียที่บ้านอีก ผมเป็นคนใจดีเลยให้เค้าไป กร๊ากกกกกก (เพื่อนๆที่ไม่อยากมีค่าให้จ่ายส่วนนี้ที่จริงแล้วก็มีรถประจำทางเข้าไปในตัวเมืองนะครับ แต่ว่าผมมีกันหลายคน บวกลบแล้วพอกันก็เลยไปด้วยการเหมารถไป อยากช่วยพี่เค้าด้วย--ไม่เลิกๆ 55--)
ช่วงจังหวะที่ผมต่อรองกับพี่เค้าอยู่ก็มีรถประจำทางระหว่างประเทศมาจอด พาคนมาเยอะแยะ แค่ละคนก็รีบลงเพื่อไปตรวจหน้าตาว่าดีพอจะเข้าประเทศลาวได้ไหม พวกเราก็ไปต่อคิดผ่าน ต.ม.บ้าง (ไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าตาผ่านอยู่แล้ว) ชึ่งมีอยู่แค่ 2 ช่อง ระหว่างที่เราต่อคิวกันอยู่ พี่คนขับรถเราเห็นว่า แถวยาว กลัวว่าพวกเราอาจจะต้องรอกันนาน พี่แกมากระซิบ "ให้ผมลัดคิวให้ไหม เร็วกว่า แต่ว่าต้องจ่ายคนละ 10 บาทคับ" ทำไมเดียวนี้คนถึงเป็นอย่างนี้กันเนี้ย คนที่เค้าต่อคิวข้างหน้าจะเป็นยังไงละ ผมส่ายหน้า แล้วยื่น Passport พร้อมเงินไป 50 บาท (ก็มันไม่อยากรออะ แหะๆ) แล้วเราก็มารอด้านนอก รอไปรอมา เอ๊ะนั่นคนที่ต่อหลังเราอยู่นี่หว่า ถึงหน้า ต.ม.แล้ว ไม่น่าเลยเรารู้งี้ต่อคิวก็ดี แล้วพี่คนขับรถก็มา"ได้แล้วครับตามมาทางนี้เลย" สรุปเร็วกว่าต่อคิวประมาณ 30 วินาที ผ่าน ต.ม.ไปต่อด้วยการจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินลาวอีก 10 บาท
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
ชัยโย เราเข้ามาในประเทศลาวแล้วครับ ตอนนั้นเวลา 7.30 เราตามพี่เค้าไปที่รถ แล้วพี่แกก็เดินไปข้างขวามาเปิดประตูรถให้เรา เสร็จแล้วแกก็เดินไปข้างซ้าย ผมสงสัยในใจพี่แกจะไปไหนหว่า ยังไม่พาเราไปเหรอแล้วแกก็เปิดประตูรถอีกข้างขึ้นไปนั่ง อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ที่นี่เค้าขับรถเลนขวากันครับ พวงมาลัยก็ต้องอยู่ข้างซ้าย แล้วเราก็เริ่มออกเดินทางเข้าไปในตัวเมืองของนครหลวงเวียงจันทร์ ชมวิวข้างทาง แซวพี่คนขับเล่นแก้เหงาฟังเพลงที่พี่เค้าเปิดก็ยังเป็นเพลงไทยอยู่เลยครับ อย่างว่าที่นี้ยังได้รับอิทธิพลจากบ้านเราอยู่มาก โทรทัศน์ก็ดูของบ้านเรา แต่ผมไม่ชอบตรงที่รับเอาสิ่งที่ไม่ดีจากบ้านเราไปเยอะเหมือนกัน เรื่องไม่ดีผ่านสื่อไปเยอะไปหน่อย ผมหันไปถ่ายรูปข้างทางบ้าง ถ่ายรูปบิลบอร์ดแปลกๆ ป้ายต่างๆที่เป็นภาษาของเค้า น่ารักดีครับ ผมเห็นหลายครั้งแล้วก็ยังชอบตัวหนังสือของเค้าอยู่ทุกครั้งไป มาคราวนี้ถนนเส้นหลักที่ใช้เข้าไปในเมืองเส้นนี้ได้รับการปรับปรุงขึ้นเยอะ เมื่อ 2 ปีที่แล้วยังเป็นลูกรัง มีการก่อสร้างทางกันอยู่เลย ตอนนี้เสร็จหมดแล้วสะดวกรวดเร็วจริงๆ เรานั่งในรถประมาณ 30 นาทีก็ถึงตัวเมือง ผมให้พี่เค้ามาส่งที่ท่ารถที่จะไปวังเวียง ซึ่งอยู่คนละที่กับสถานีขนส่งสายเหนือที่จะไปหลวงพระบาง จัดการซื้อตัวรถก่อนเป็นอย่างแรกรถที่จะไปวังเวียงเป็นรถบัสขนาดกลางนั่งมีที่นั่งประมาณ 40 ที่นั่ง ค่ารถคนละ 250 บาท มาเที่ยวลาวไม่ต้องกลัวเรื่องการใช้เงินนะครับ เราสามารถที่จะใช้เงินไทยได้ตลอดทั้งทริป แต่พวกผมเลือกที่จะไปแลกเงินลาวใช้กันครับ เพราะว่าใช้แล้ว เหมือนเป็นคนรวยมีเงินเป็นปึกๆ เงินของลาวมีหน่วยเป็น กีบ ครับ ตอนที่ผมไปอยู่ที่ประมาณ 259 กีบ ต่อ 1 บาท คิดง่ายๆก็ 1000 กีบ เท่ากับ 4 บาท ถ้าเห็นของแล้วอยากรู้ราคา ให้เราตัด 0 ทิ้งไป 3 ตัวครับ แล้วเอามาคูณด้วย 4 เช่น
ผมจะซื้อน้ำเปล่าราคา 2000 กีบ ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 2 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 8 บาท
อยากกินกาแฟราคา 15000 กีบ ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 15 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 45 บาท
ข้าวผัดจานละ 28000 ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 28 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 112 บาท (เริ่มยากๆ เอาไปคิดคราวๆนะครับ)
เช้าวันนี้หลังจากที่เราซื้อตัวรถแล้ว ก็รีบมาแลกเงินเพราะว่าอยากเป็นคนรวยกับเค้าสักที เริ่มด้วยการรวบรวมเงินกองกลางกันก่อนครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งหารกันเวลาไปทานข้าว หรือ จ่ายค่านั้นนี่ที่ทุกคนต้องจ่ายเหมือนกัน แล้วก็แลกเงินส่วนตัวเอาไว้จับจ่ายกันหน่อย ผมแลกมาก่อน 1000 บาท เอาไว้ให้อุ่นใจ ได้เงินกีบกลับมา 259,000 กีบ แต่ถ้าเพื่อนๆไม่มีเวลาไปแลกที่ธนาคารหรือจุดรับแลกเงิน ก็สามารถแลกกับร้านค้าได้นะครับ ถึงแม้ว่าเรตจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าส่วนต่างน้อยมากครับ เช่น เค้าให้เรต 255 หรือ 250 กีบต่อบาท ถ้าเราแลก 1000 บาท ส่วนต่างก็แค่ 4000 กีบ หรือ 9000 กีบ ก็เป็นเงินเราแค่ 16 กับ 36 บาท จาก 1000 บาทเห็นไหมครับว่าน้อยมาก แลกๆไปเถอะครับ
เมื่อเราแลกเงินเสร็จ แล้วภาระกิจต่อไปก็คือการกินครับ เราเลือกที่จะกินอาหารที่เป็นร้านท้องถิ่นหน่อยเพราะว่าอยากที่จะรู้ว่า คนลาวเองเค้ากินอะไรกันบ้าง แถวนั้นเหมือนเป็นข้าวสารบ้านเราครับ แต่คนน้อยกว่ามาก ก็เลยมีร้านกาแฟหรืออาหารที่ไม่ใช่คนลาวเค้าทานกันทุกวัน มีเพียงร้านเดียวที่ให้เราเลือก ต้องเรียกว่าถูกบังคับให้เลือก ไปครับไปลองกัน พอเดินเข้าไปที่ร้านบรรยากาศก็เหมือนร้านข้าวบ้านเรา เมนูอาหารก็แทบจะเหมือนกันเลยครับ ผมก็เลยสั่งอาหารที่ผมไม่เคยกินเลยก็คือ คะน้าหมูกรอบราดข้าว 55 เพื่อนก็สั่งนู้นนั้นนี่ครับ สรุปออกมาได้ว่า ไม่อร่อย ส่วนใหญ่จะหนักเค็มครับ (อาจจะเป็นที่แม่ครัวร้านนี้ครับ อย่าพึ่งเหมารวมอาหารบ้านเค้านะ) กินกันได้คนละครึ่งจานก็ยอมแพ้ครับ แล้วราคาอาหารก็แพงมาก ตอนแรกผมคิดว่าเป็นย่านนักท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่เท่าที่ดูคนลาวเค้าก็กินราคาเดียวกับเรา ไม่รู้อยู่กันได้ยังไง เฉลี่ยแล้วตกประมาณจานละ 80 บาทครับ มื้อนี้เราจ่ายเงินไปประมาณ 180,000 กีบ ทานข้าวกันแต่ละครั้งจ่ายไม่เคยต่ำกว่าแสน รวยกันมาก อิอิ
เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงงงว่าอะไรเนี้ยอ่านมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมันจะน่าไปตรงไหนเลย ดูแต่ละอย่างที่เล่าดิ... ใจเย็นๆครับ เรายังไปไม่ถึงไหนกันเลย ข้อดีของที่นี้มีครับเยอะด้วย อย่างเช่น บ้านเมืองที่นี้เค้าสะอาดสะอ้านมากครับนี่ขนาดว่าเป็นย่านนักท่องเที่ยวแล้วนะ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นหน้าโลว์ซีซั่นก็ได้ รถราที่นี้ก็น้อยครับ เท่าที่เห็นจะจอดกันเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้ไม่ค่อยมีฝุ่น แล้วทุกอย่างก็ดูแปลกหูแปลกตาสำหรับพวกเราหมด ผมเห็นป้ายที่ไหน ก็อดที่จะอ่านไม่ได้ พออ่านแล้วมาเดาดูความหมายว่าเป็นอะไร สนุกดี
ดูเวลาอีกที 9.15 แล้ว เป็นเวลาที่เค้านัดเราให้ไปเตรียมขึ้นรถไปวังเวียง เมื่อเราเดินกลับไป โอ้โห ฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้ครับมาเต็มหน้าร้านกันไปหมด ทั้งที่เราออกมาจากร้านนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงเอง สงสัยว่าจะซื้อตั๋วไว้แล้ว รถบัสขนาดกลางที่ผมคิดว่าน่าจะมีคนน้อยก็ไม่น้อยแล้วครับ พวกเรารีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถจับจองที่นั่งเพราะว่าเพื่อนเราบางคนเกรงว่าจะเมารถ หลังจากได้ยินกิตติศัพพ์ของทางไปหลวงพระบาง (วังเวียงอยู่ตรงกลางระหว่าง เวียงจันทร์กับหลวงพระบางครับ ใช้เส้นทางเดียวกัน) ที่เรียกว่าทางลอยฟ้าเพราะรถวิ่งอยู่บนไหลเขาตลอดทาง เมื่อคนขึ้นครบ เด็กรถก็มาเก็บตั๋วพร้อมกับเช็คจำนวนคนไปด้วยในตัว 9.45 รถก็เลื่อนออกจากจุดจอดเพื่อนเดินทางไปวังเวียง ตอนหน้ามาดูกันนะครับว่าที่วังเวียงจะสนุกขนาดไหน เพราะว่าผมก็ยังไม่เคยไปวังเวียงมาก่อนแล้วเราก็เตรียมข้อมูลสำหรับเที่ยวที่นี่มาเพียบ...
ภาพประกอบคำรับสารภาพ
1. ข้าวสารบ้านเค้าจ้า
2. ร้านกาแฟที่อยากนั่ง แต่ไม่มีเวลา
3. ปั๊มน้ำมัน อ่านว่า ห้องขาย (ลองอ่านข้างห้องขาย ว่าเค้าเขียนว่าอะไร ลองทายกันดูครับ)
4. บรรยากาศข้างทาง ช่างดูสวยงามครับ
5. ร้านอาหารข้างทางระหว่างไปวังเวียง ดูช่อง 7 อยู่เลยครับ
ผมจะซื้อน้ำเปล่าราคา 2000 กีบ ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 2 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 8 บาท
อยากกินกาแฟราคา 15000 กีบ ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 15 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 45 บาท
ข้าวผัดจานละ 28000 ตัด 0 ออก 3 ตัว เหลือ 28 แล้วคูณด้วย 4 เท่ากับ 112 บาท (เริ่มยากๆ เอาไปคิดคราวๆนะครับ)
เช้าวันนี้หลังจากที่เราซื้อตัวรถแล้ว ก็รีบมาแลกเงินเพราะว่าอยากเป็นคนรวยกับเค้าสักที เริ่มด้วยการรวบรวมเงินกองกลางกันก่อนครับ จะได้ไม่ต้องมานั่งหารกันเวลาไปทานข้าว หรือ จ่ายค่านั้นนี่ที่ทุกคนต้องจ่ายเหมือนกัน แล้วก็แลกเงินส่วนตัวเอาไว้จับจ่ายกันหน่อย ผมแลกมาก่อน 1000 บาท เอาไว้ให้อุ่นใจ ได้เงินกีบกลับมา 259,000 กีบ แต่ถ้าเพื่อนๆไม่มีเวลาไปแลกที่ธนาคารหรือจุดรับแลกเงิน ก็สามารถแลกกับร้านค้าได้นะครับ ถึงแม้ว่าเรตจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าส่วนต่างน้อยมากครับ เช่น เค้าให้เรต 255 หรือ 250 กีบต่อบาท ถ้าเราแลก 1000 บาท ส่วนต่างก็แค่ 4000 กีบ หรือ 9000 กีบ ก็เป็นเงินเราแค่ 16 กับ 36 บาท จาก 1000 บาทเห็นไหมครับว่าน้อยมาก แลกๆไปเถอะครับ
เมื่อเราแลกเงินเสร็จ แล้วภาระกิจต่อไปก็คือการกินครับ เราเลือกที่จะกินอาหารที่เป็นร้านท้องถิ่นหน่อยเพราะว่าอยากที่จะรู้ว่า คนลาวเองเค้ากินอะไรกันบ้าง แถวนั้นเหมือนเป็นข้าวสารบ้านเราครับ แต่คนน้อยกว่ามาก ก็เลยมีร้านกาแฟหรืออาหารที่ไม่ใช่คนลาวเค้าทานกันทุกวัน มีเพียงร้านเดียวที่ให้เราเลือก ต้องเรียกว่าถูกบังคับให้เลือก ไปครับไปลองกัน พอเดินเข้าไปที่ร้านบรรยากาศก็เหมือนร้านข้าวบ้านเรา เมนูอาหารก็แทบจะเหมือนกันเลยครับ ผมก็เลยสั่งอาหารที่ผมไม่เคยกินเลยก็คือ คะน้าหมูกรอบราดข้าว 55 เพื่อนก็สั่งนู้นนั้นนี่ครับ สรุปออกมาได้ว่า ไม่อร่อย ส่วนใหญ่จะหนักเค็มครับ (อาจจะเป็นที่แม่ครัวร้านนี้ครับ อย่าพึ่งเหมารวมอาหารบ้านเค้านะ) กินกันได้คนละครึ่งจานก็ยอมแพ้ครับ แล้วราคาอาหารก็แพงมาก ตอนแรกผมคิดว่าเป็นย่านนักท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่เท่าที่ดูคนลาวเค้าก็กินราคาเดียวกับเรา ไม่รู้อยู่กันได้ยังไง เฉลี่ยแล้วตกประมาณจานละ 80 บาทครับ มื้อนี้เราจ่ายเงินไปประมาณ 180,000 กีบ ทานข้าวกันแต่ละครั้งจ่ายไม่เคยต่ำกว่าแสน รวยกันมาก อิอิ
เพื่อนๆอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคงงงว่าอะไรเนี้ยอ่านมาตั้งนานแล้วไม่เห็นมันจะน่าไปตรงไหนเลย ดูแต่ละอย่างที่เล่าดิ... ใจเย็นๆครับ เรายังไปไม่ถึงไหนกันเลย ข้อดีของที่นี้มีครับเยอะด้วย อย่างเช่น บ้านเมืองที่นี้เค้าสะอาดสะอ้านมากครับนี่ขนาดว่าเป็นย่านนักท่องเที่ยวแล้วนะ แต่อาจจะเป็นไปได้ว่าเป็นหน้าโลว์ซีซั่นก็ได้ รถราที่นี้ก็น้อยครับ เท่าที่เห็นจะจอดกันเป็นส่วนใหญ่ เลยทำให้ไม่ค่อยมีฝุ่น แล้วทุกอย่างก็ดูแปลกหูแปลกตาสำหรับพวกเราหมด ผมเห็นป้ายที่ไหน ก็อดที่จะอ่านไม่ได้ พออ่านแล้วมาเดาดูความหมายว่าเป็นอะไร สนุกดี
ดูเวลาอีกที 9.15 แล้ว เป็นเวลาที่เค้านัดเราให้ไปเตรียมขึ้นรถไปวังเวียง เมื่อเราเดินกลับไป โอ้โห ฝรั่งที่ไหนก็ไม่รู้ครับมาเต็มหน้าร้านกันไปหมด ทั้งที่เราออกมาจากร้านนั้นแค่ครึ่งชั่วโมงเอง สงสัยว่าจะซื้อตั๋วไว้แล้ว รถบัสขนาดกลางที่ผมคิดว่าน่าจะมีคนน้อยก็ไม่น้อยแล้วครับ พวกเรารีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถจับจองที่นั่งเพราะว่าเพื่อนเราบางคนเกรงว่าจะเมารถ หลังจากได้ยินกิตติศัพพ์ของทางไปหลวงพระบาง (วังเวียงอยู่ตรงกลางระหว่าง เวียงจันทร์กับหลวงพระบางครับ ใช้เส้นทางเดียวกัน) ที่เรียกว่าทางลอยฟ้าเพราะรถวิ่งอยู่บนไหลเขาตลอดทาง เมื่อคนขึ้นครบ เด็กรถก็มาเก็บตั๋วพร้อมกับเช็คจำนวนคนไปด้วยในตัว 9.45 รถก็เลื่อนออกจากจุดจอดเพื่อนเดินทางไปวังเวียง ตอนหน้ามาดูกันนะครับว่าที่วังเวียงจะสนุกขนาดไหน เพราะว่าผมก็ยังไม่เคยไปวังเวียงมาก่อนแล้วเราก็เตรียมข้อมูลสำหรับเที่ยวที่นี่มาเพียบ...
ภาพประกอบคำรับสารภาพ
1. ข้าวสารบ้านเค้าจ้า
2. ร้านกาแฟที่อยากนั่ง แต่ไม่มีเวลา
3. ปั๊มน้ำมัน อ่านว่า ห้องขาย (ลองอ่านข้างห้องขาย ว่าเค้าเขียนว่าอะไร ลองทายกันดูครับ)
4. บรรยากาศข้างทาง ช่างดูสวยงามครับ
5. ร้านอาหารข้างทางระหว่างไปวังเวียง ดูช่อง 7 อยู่เลยครับ
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
ตัวอย่างตอนต่อไปครับ
1. ถ้ามาลาวไม่ได้กินเบียร์ลาวถือว่าไม่ถึงลาวครับ (คติประจำใจผมเอง) เค้าตั้งเป็นลังอย่างนี้เลย
2. สะพานข้ามแม่น้ำซอง จะข้ามได้ต้องจ่ายเงินก่อน (งกที่สุด)
3. ภาพติดประกาศ นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จ่ายเงินค่่าผ่านทาง (ล้อเล่น เพื่อนผมเองคับ)
4. แม่น้ำซอง สะพานข้ามไปที่พัก และเด็กน้อย
5. ทุ่งนาหน้าบ้านพร้อม ทิวเขา สุดๆ
1. ถ้ามาลาวไม่ได้กินเบียร์ลาวถือว่าไม่ถึงลาวครับ (คติประจำใจผมเอง) เค้าตั้งเป็นลังอย่างนี้เลย
2. สะพานข้ามแม่น้ำซอง จะข้ามได้ต้องจ่ายเงินก่อน (งกที่สุด)
3. ภาพติดประกาศ นักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จ่ายเงินค่่าผ่านทาง (ล้อเล่น เพื่อนผมเองคับ)
4. แม่น้ำซอง สะพานข้ามไปที่พัก และเด็กน้อย
5. ทุ่งนาหน้าบ้านพร้อม ทิวเขา สุดๆ
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
- MidNight Diver
- Advanced Member
- โพสต์: 1877
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 14, 2007 11:03 pm
- ติดต่อ:
1. เหมือนอยู่หุบเขาเหลียงซาน แต่จริงๆแล้วเป็นหน้าบ้านพัก
2. แม่น้ำซองที่ฝรั่งชอบมาเล่นกัน แต่หน้านี้หมดสิทธิ รีสอร์ทที่สวยงานริมน้ำ (วันถัดมาถูกน้ำท่วมไป 1 เมตร)
3-4. คุณยาย ผู้แข่งแกร่ง ไม่หวั่นแม้วันมามาก (น้ำในแม่น้ำ อย่าคิดอย่างอื่น)
5. กลางเมืองวังเวียง
ภาพสุดท้ายคงบรรยายตอนต่อไปได้ว่า ที่วังเวียงจะเป็นยังไงครับ เจอกันต่อถัดไปเร็วๆนี้
ป.ล. ช่วงนี้มีสอนทุกวันก่อนไปเกาะเต่า อาจจะมาต่อหลังจากนั้นนะครับ
2. แม่น้ำซองที่ฝรั่งชอบมาเล่นกัน แต่หน้านี้หมดสิทธิ รีสอร์ทที่สวยงานริมน้ำ (วันถัดมาถูกน้ำท่วมไป 1 เมตร)
3-4. คุณยาย ผู้แข่งแกร่ง ไม่หวั่นแม้วันมามาก (น้ำในแม่น้ำ อย่าคิดอย่างอื่น)
5. กลางเมืองวังเวียง
ภาพสุดท้ายคงบรรยายตอนต่อไปได้ว่า ที่วังเวียงจะเป็นยังไงครับ เจอกันต่อถัดไปเร็วๆนี้
ป.ล. ช่วงนี้มีสอนทุกวันก่อนไปเกาะเต่า อาจจะมาต่อหลังจากนั้นนะครับ
การใช้ชีวิตก็เหมือนการทำงานศิลปะ ชอบงานศิลปะแบบไหนก็จงใช้ชีวิตแบบนั้น
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
สัญชาตญาณบางครั้งเป็นการนำทางที่ดีที่สุดในชวิตปัจจุบัน
http://www.facebook.com/nickfoto
nickfotofam@hotmail.com
มาปั่นกระทู้ให้....
อ่านแล้ว ชอบมากจิงจิงนะ...สนุกดี...ภาพสวย...เนื้อเรื่องเยี่ยม
เขียนจบแล้วส่งตีพิมพ์ได้เลยนะเนี่ย...
ใครเข้ามาอ่านแล้ว ช่วยเม้นด้วย....เนื่องจากผู้เขียนรู้สึกน้อยใจอย่างแรง ที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากบอร์ด.... :fear:
เด๋วจะไม่ยอมมาเขียนตอนต่อ
อ่านแล้ว ชอบมากจิงจิงนะ...สนุกดี...ภาพสวย...เนื้อเรื่องเยี่ยม
เขียนจบแล้วส่งตีพิมพ์ได้เลยนะเนี่ย...
ใครเข้ามาอ่านแล้ว ช่วยเม้นด้วย....เนื่องจากผู้เขียนรู้สึกน้อยใจอย่างแรง ที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากบอร์ด.... :fear:
เด๋วจะไม่ยอมมาเขียนตอนต่อ
Yesterday is history, tomorrow is a mystery, but today is a gift