:blur: มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเมืองไทย เป็นเหตุการณ์ที่อาจไม่มีใครคาดคิด และน้อยคนที่เคราะห์ร้ายได้ประสบเข้า
แต่หากไม่มีการดำเนินการ ทั้งในด้านการป้องกันหรือทำให้เรื่องนี้เป็น "เรื่องที่ต้องตระหนัก" แล้ว ในอนาคต เหตุการณ์ที่จะเล่าต่อไปนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อคนไทย เมืองไทย และท้องทะเลของไทย!!
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับ "วินิจ รังผึ้ง" บรรณาธิการนิตยสาร อสท ระหว่างการดำน้ำถ่ายรูปใต้ทะเลที่บริเวณหินริเชลิว อยู่ห่างจากหมู่เกาะสุรินทร์ 10 กิโลเมตร
ระหว่างที่ง่วนอยู่กับการพินิจพิจารณาปะการังใต้น้ำเพื่อหามุมถ่ายภาพอยู่นั้น วินิจก็ถูกอินสตัคเตอร์ฝรั่งที่พาลูกทัวร์ฝรั่งมาดำน้ำ เข้าใจผิดว่าเอาฟิน (ตีนกบ) ไปเตะปะการังอ่อนเข้า จึงเข้าไปกระชากตัววินิจ พร้อมกับชักมีดออกมาขู่ ทำสัญญาณมือให้ออกจากจุดที่จะถ่ายรูป แต่เมื่อวินิจพยายามทำภาษามืออธิบายถึงสิ่งที่ทำอยู่ กลับถูกฝรั่งคนดังกล่าวปัดหน้ากากออกซิเจนหลุดออกระหว่างอยู่ใต้น้ำ
วินิจยืนยันว่าทั้งหลายทั้งปวงเขาได้ทำตามกฎของนักดำน้ำ และได้คุกเข่าอยู่บนพื้นทรายโดยไม่ได้แตะต้องอะไรเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะประสบการณ์ของการดำน้ำมาหลายสิบปี วินิจอาจจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็ได้!
และหากว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคนรักธรรมชาตินักดำน้ำรายอื่น ก็อาจจะไม่มีลมหายใจอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปเช่นกัน
หลังขึ้นมาจากทะเลได้ วินิจไปทำความเข้าใจกับฝรั่งคนดังกล่าวที่เรือของเขา พูดคุยทำความเข้าใจจนกระทั่งฝรั่งรายนั้นบอกเสียงอ่อย ว่าเมื่อก่อนเคยดำน้ำทะเลไทย ปะการังใต้ทะเลไทยสวยกว่านี้มาก อีกทั้งฝูงปลาก็มากกว่านี้ แต่ปัจจุบันน้อยลง ความสวยงามของปะการังก็โดนทำลายเยอะ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปเตือนคนจับต้องทำลายทรัพยากรใต้ทะเล
สุดท้ายเขาขอโทษวินิจ ยอมรับว่าเข้าใจผิดและทำรุนแรงเกินไป แต่ภายหลังฝรั่งคนนี้กลับไปเขียนบทความเป็นอีกแบบ ว่าวินิจยกพวกมาขู่ถึงบนเรือ
เหตุการณ์นี้เป็นเพียงหนังตัวอย่างที่เกิดขึ้นเท่านั้น ยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ให้รับรู้กัน เพราะฝรั่งต่างชาติจำนวนหนึ่งมักจะคิดว่าตัวเองเท่านั้นที่เป็นนักอนุรักษ์ จึงมักมองผู้อื่น โดยเฉพาะคนในประเทศที่กำลังพัฒนาว่า ไม่มีจิตสำนึกในเรื่องนี้ และกระทำตัวเป็นผู้พิทักษ์โลกอย่างเข้าใจผิดๆ
ฝรั่งเช่นนายคนที่ยกตัวอย่างมานี้ กำลังเข้ามายึดหัวหาดธุรกิจดำน้ำในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายทะเลทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย นับนิ้วไล่ไปได้เลย ตั้งแต่พัทยา ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปทางระนอง กระบี่ ภูเก็ต เป็นต้น
ประกอบกับรายงานสถิติของหอการค้าจังหวัดภาคใต้มีบอกว่าปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจดำน้ำกว่า 90% เป็นชาวต่างชาติ
เหตุที่ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจดำน้ำในเมืองไทยเป็นจำนวนมากนั้น เพราะสมัยก่อนคนไทยไม่มีความชำนาญในเรื่องนี้เพียงพอ คนต่างชาติจึงอาศัยช่องว่างนี้เข้ามาประกอบธุรกิจ และกอบโกยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของไทยกลับประเทศไปอย่างมหาศาล
เรื่องราวของขุมทรัพย์ใต้ทะเลไทยแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ยิ่งทำให้ตัวเลขการเดินทางมาประกอบธุรกิจประเภทนี้ของต่างชาติในไทยยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เป็นอย่างเงียบๆ เพราะคนไทยยังนิยมการพักผ่อน ท่องเที่ยว ในรูปแบบนี้ไม่มากนัก อีกทั้งความรู้ก็ยังไม่พอ
ฝรั่งที่เข้ามาประกอบธุรกิจด้านนี้ มักอ้างเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นการรักษาแหล่งทำมาหากินของตัวเองนั่นเอง หากมีใครแหยมเข้าไปยุ่งเกี่ยวในพื้นที่การทำมาหากินของคนเหล่านี้ มักจะถูกทำร้าย หรือหาเหตุให้เกิดอันตรายขึ้นอยู่เป็นประจำ
ว่ากันว่ากำลังเกิดอาชีพใหม่ในวงการดำน้ำใต้ทะเลไทย นั่นคือ "มาเฟียฝรั่งในธุรกิจดำน้ำ"
เท็จจริงอย่างไรนั้น พิธาน ผลนิวาศ ครูฝึกสอนดำน้ำ หรือ PADI MSDT (Master Scuba Diver Trainer) ผู้คลุกคลีกับธุรกิจดำน้ำมานาน เล่าว่า ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจดำน้ำในเมืองไทยมานานมากแล้ว
ปัจจุบันการทำธุรกิจดำน้ำของทะเลไทยทั้ง 2 ฟาก คือ ทะเลฝั่งอันดามัน กับ ทะเลฝั่งอ่าวไทย จำนวน 90% เป็นชาวต่างชาติ และแหล่งดำน้ำหลายแห่งในประเทศไทยก็ถูกเปิดออกมาโดยคนต่างชาติ
ส่วนธุรกิจดำน้ำในเมืองไทยเริ่มเติบโตขึ้นอย่างมาก ในช่วงร้านไดฟ์ มาสเตอร์ ซึ่งเป็นร้านธุรกิจดำน้ำครบวงจรของไทยเปิดขึ้นมาเป็นแห่งแรก จากนั้นเริ่มมีดาราเข้ามาดำน้ำ ทำให้กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงยิ่งขึ้น
เริ่มมีการนำกีฬาดำน้ำไปตีพิมพ์ในสื่อต่างๆ รวมทั้งมีคนถ่ายภาพใต้น้ำไปลงตามนิตยสารต่างๆ ก็ยิ่งทำให้คนไทยสนใจกีฬาชนิดนี้มากขึ้น มาจนถึงปัจจุบัน
"พวกฝรั่งที่เข้ามาในธุรกิจนี้ พวกหนึ่งเป็นพวกอนุรักษ์จริง แต่อีกพวกหนึ่งเขาอนุรักษ์เพราะมันคือที่ทำมาหากินของเขา คนไทยอาจจะไม่รู้สึก แต่พวกเราที่ทำธุรกิจด้านนี้มา ถ้าคุณไปเหยียบ ไปเตะผลประโยชน์ของเขาเข้าก็เป็นเรื่อง"
พิธานบอกว่า ปัญหาหลักๆ ของธุรกิจดำน้ำ คือปัญหาของแรงงานต่างชาติ แม้ว่าร้านดำน้ำโดยทั่วไปจะเปิดแบบถูกต้องตามกฎหมาย แต่การนำครูสอนดำน้ำ หรือไก๊ด์ดำน้ำ มาทำงาน ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมักจะมีปัญหาเรื่องใบอนุญาตทำงานหรือ เวิร์ค เพอร์มิต
"คนพวกนี้จะอาศัยวีซ่านักท่องเที่ยว พอวีซ่าใกล้จะหมดอายุก็ไปแสตมป์ตามเกาะสองบ้าง มาเลเซียบ้าง ซึ่งที่จริงแล้วการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง แรงงานต่างด้าวพวกนี้มาเยอะมากและก็เป็นปัญหาด้วย เราไม่ได้รังเกียจที่ต้องจ้างฝรั่งมาทำงาน แต่ผมว่าเขาต้องมีใบอนุญาตให้ถูกต้อง ปัญหาแรงงานเถื่อนมีเยอะมาก แต่ผมไม่กล้าพูดว่าขนาดไหน"
พิธานยังบอกอีกว่า ปัญหาที่คิดว่าภาครัฐก็รู้ คือทัวร์ดำน้ำของฝรั่ง ซึ่งมีรูปแบบการดำเนินการโดยตั้งบริษัทขึ้นมา ใช้การติดต่อซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต โดยมีเรือยอชต์อย่างดีที่จอดถ่ายรูปบริเวณอ่าวฉลอง... ใครจะซื้อทริปมาดำน้ำในประเทศไทย ก็ดูรูปเรือ เสร็จแล้วจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารต่างประเทศ แล้วลูกทัวร์ก็บินมาเมืองไทยโดยสายการบินต่างประเทศ
"วิธีการแบบนี้จะเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มิหนำซ้ำคนขับเรือเป็นฝรั่ง ไดฟ์มาสเตอร์ ไดฟ์อินสตัคเตอร์ เป็นฝรั่งหมด และพ่อครัว แม่ครัวบนเรือบางทีเป็นฝรั่งด้วยซ้ำไป
"ทัวร์ฝรั่งพวกนี้ไปดำน้ำในอุทยานแห่งชาติสิมิลัน เตะปะการังอ่อนหักไปกอหนึ่ง มูลค่ามหาศาล เสร็จแล้วแล่นเรือไปที่อื่นต่อ ตรงนี้บางทีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต้องกลับมาดูว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจริงหรือเปล่า สิ่งที่เหลือทิ้งไว้คืออะไร? ต้องดูแล้วละครับ"
พิธานให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ว่า ต้องสร้างคนท้องถิ่นขึ้นมา ให้การศึกษาให้เรียนรู้เรื่องการดำน้ำ อาจทำเป็นธุรกิจพื้นฐานโดยภาครัฐเข้ามาร่วมด้วย หรืออาจระบุให้เป็นอาชีพที่สงวนไว้สำหรับคนไทย
มาถึงคำว่า "มาเฟียฝรั่งดำน้ำ" พิธานบอกว่า อย่าไปเรียกถึงขั้นนั้นเลย เพราะต้องยอมรับว่าขณะนี้ไม่มีใครไปแทนที่ฝรั่งพวกนั้นได้
"ผมไม่คิดว่าเขาเป็นมาเฟียขนาดนั้น เราต้องยอมรับว่าเราด้อยกว่าเขา และไม่ได้หมายความว่าไม่มีฝรั่งก็ได้ แต่ว่าการทำงานตรงนี้ต้องมีสัดส่วน เช่นเป็นฝรั่ง 50 อินสตัคเตอร์ไทย 50 มีไดฟ์ มาสเตอร์ไทย ซึ่งรัฐบาลต้องผลิตบุคลากรเหล่านี้มา รัฐบาลต้องสนับสนุนส่งเสริมให้เรียนภาษาอังกฤษและสนับสนุนคนไทยเข้าไปอยู่ในธุรกิจนี้มากขึ้น"
ฟังเสียงของนักธุรกิจไทยไปแล้ว ลองฟังเสียงนักอนุรักษ์อย่าง ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อาจารย์คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านแนวปะการังและการท่องเที่ยว
ดร.ธรณ์บอกว่า ในเรื่องของทะเลคนไทยตื่นตัวยิ่งกว่าสังคมของฝรั่งด้วยซ้ำ สังเกตง่ายๆ ว่าเรื่องของทะเลในเมืองไทยเป็นข่าวขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ตลอดเวลา
แต่ในเรื่องของการอนุรักษ์นั้น มีปัญหาว่ากฎกติกาของไทยยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องกีฬาดำน้ำ
"ผมว่าคนไทยปัจจุบันแทบจะเลิกทำพฤติกรรมที่ไปจับนั่นจับนี่ใต้ทะเลแล้ว แต่ตอนนี้เป็นเกาหลี ไต้หวัน จีนมากกว่า พวกนี้เวลานี้เต็มทะเลไปหมด บางครั้งเห็นคนเกาหลีถือฉมวกไปยิงปลา จับกุ้งมังกรขึ้นมากิน ถ้าไปห้ามโดนด่าแหลก นั่นเพราะกฎกติกาที่เราใช้กันอยู่มันไม่ชัดเจน ไม่เข้มแข็งพอ อยากทำอะไรก็ได้ เพราะนักท่องเที่ยวคือพระเจ้า"
สำหรับธุรกิจดำน้ำ ดร.ธรณ์บอกว่า ปัญหามันซับซ้อน ยิ่งเวลานี้ค่าเรียนดำน้ำ หรือ ทัวร์ดำน้ำถูกลงเรื่อยๆ จนจะกลายเป็นสงครามราคา
"เวลานี้ค่าเรียนดำน้ำเหลือแค่ 6,500 บาท ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในราคานี้ถ้าคุณจะทำคุณภาพ ตอนนี้ใครรักจะสอนก็สอนไป คุณภาพไม่ต้องสน ปัญหาเรื่องการอนุรักษ์ก็เพิ่มขึ้นผลกระทบก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะทั้งหมดเราใช้ราคาไปตัดสินอย่างเดียว ทั้งที่จริงๆ แล้วการดำน้ำเป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูง เป็นทัวร์คุณภาพ เป็นทัวร์สิ่งแวดล้อมที่ต้องใช้เงินสูง คงต้องตะโกนร้องขอให้ภาครัฐเข้ามาจัดการอะไรสักอย่างให้ชัดเจน หรือให้ดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นธุรกิจนี้คนไทยทำไม่ได้ ตายกันหมด หากเป็นทัวร์ก็คงเป็นทัวร์ทำลาย แล้วทรัพยากรเราก็เจ๊งลงไปเรื่อยๆ..นี่คนจากประเทศจีนยังไม่เข้ามานะ ต่อไปถ้าเข้ามาพินาศแน่ครับ..ใครก็รู้ว่าพวกนี้กินเก่ง.."
ดร.ธรณ์ย้ำว่า ที่พูดไม่ได้หมายว่าคนจีนเป็นคนไม่ดี เพียงแต่ถ้าว่าถ้าไทยไม่มีกฎระเบียบจริงจัง แล้วมีคนจำนวนมหาศาลเข้ามาทำอะไรตามใจ ก็ถึงจุดจบทะเลไทย เพราะแนวโน้มปีหน้านักท่องเที่ยวชาวจีนจะเพิ่มขึ้นอีก 2-3 เท่า
"ส่วนกรณีของคุณวินิจ รังผึ้ง ผมก็เคยโดน แต่ไม่ถึงขนาดนั้น แค่เข้ากระชากตัว ทั้งที่จริงๆ แล้วผมดำน้ำมามากกว่าฝรั่งคนนั้นตั้งเยอะ ผมดำน้ำมา 27 ปีแล้วครับ ผมแน่ใจตัวเองว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหาย แต่คล้ายกับว่าฝรั่งบางคนจะชอบโชว์ออฟกับลูกทัวร์ อยากให้ลูกทัวร์เขาเห็นสัตว์ก็เลยกระชากเราออก แล้วอ้างเรื่องการอนุรักษ์บังหน้า ซึ่งแบบนี้ไม่ใช่การอนุรักษ์ มันต้องชัดเจน แบบนี้มันมีสาเหตุอื่นแอบแฝง แบบนี้โดนไปหลายคนแล้ว..
"ลูกศิษย์ผมโดนหนักกว่านี้อีกถึงขั้นชกกันใต้น้ำ ฝรั่งพวกนั้นเขาจะเป็นครูดำน้ำจากไหนมาผมไม่ทราบ แต่เท่าที่ผมรู้ การที่เขาชักมีดออกมาเป็นอาวุธ นี่ก็ผิดแล้ว เพราะมีดสำหรับนักดำน้ำคือเครื่องมือในการตัดอวน แต่ก่อนเหตุการณ์แบบนี้ยังมีไม่มาก แต่ 4-5 ปีหลังนี่รู้สึกจะหนักมือขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เป็นข่าวจะรู้กันในวงการดำน้ำ"
ดร.ธรณ์ให้ความรู้ว่า ฝรั่งที่เข้ามาทำธุรกิจประเภทนี้ในไทยมี 2 กลุ่ม คือพวกมามือเปล่าอยู่ 3 เดือน 6 เดือนหาเงินแล้วก็ไป ส่วนอีกพวกเข้ามาประกอบธุรกิจและทำถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งประเภทหลังนี้น้อยกว่าประเภทแรก
"ตอนนี้ถ้าพูดถึงไดฟ์มาสเตอร์ หรือคนสอนดำน้ำในเมืองไทย เรามีคนไทยอยู่มาก ฝรั่งดีๆ เราก็ต้องการให้เขาอยู่กับเรา เพราะอย่างน้อยเขามีส่วนช่วยดึงวงการดำน้ำเมืองนอกเข้ามา เราไม่ต้องการให้วงการดำน้ำเมืองไทยมีแต่คนไทย 100% เพียงแต่ว่าต้องการให้ฝรั่งที่ทำตัวไม่ดี ผิดกฎหมาย ออกไปแล้วให้คนไทยเข้าไปแทนในส่วนนั้น" เป็นข้อสรุปของ ดร.ธรณ์
สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ น่าจะตกอยู่ที่เรื่องของจิตสำนึก ที่ควรจะมีอยู่ในตัวของนักท่องเที่ยวทุกคนไม่ว่าคนไทยหรือชาวต่างชาติ รวมถึงภาครัฐที่จะให้ความสำคัญเรื่องนี้มากกว่าเป็นที่อยู่
มิฉะนั้นแล้วอีก 4-5 ปีข้างหน้า จะไม่มีทรัพยากรใต้ทะเลไทยให้คนไทยเป็นเจ้าของอีกต่อไป
*บทความจาก นสพ.มติชน 5/6/2550
บริษัทธุรกิจใต้ทะเล
- Taklyz
- Advanced Member
- โพสต์: 562
- meble kuchenne - tworzymyatmosfere.pl
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 11:38 am
"Work Hard And Dive Hard Too"...Your Freedom to explore 70% of the earth"Only those who dare to fail greatly can ever achieve greatly". Robert F Kennedyhttp://www.facebook.com/?ref=home#!/Scubalism' target='_blank'>http://www.facebook.com/?ref=home#!/Scubalism>
มาช่วยกันทำอะไรดีๆ ให้กับทะเลไทย และประเทศไทยกันเถอะครับ
เริ่มต้นด้วยตัวเราเองก่อน ...
ถ้าคุณเป็นนักดำน้ำ พยายามเป็นนักดำน้ำที่ดี เรียนรู้โลกใต้ทะเลให้มาก และมีปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างเหมาะสม
เลือกใช้บริการจากร้านดำน้ำที่มีความตั้งใจให้บริการอย่างเรียบร้อย ราบรื่น เหมาะสม (ทั้งคุณภาพ ราคา)
ถ้าคุณเป็น leader พยายามเป็นตัวอย่างที่ดี ให้กับนักดำน้ำที่ตามคุณอยู่
ถ้าคุณเป็นร้านดำน้ำ ยิ่งต้องพยายามจัดระบบระเบียบการบริการของคุณให้เรียบร้อย ทั้งด้าน การบริการ ราคา และความถูกต้องตามกฎระเบียบของรัฐ
ไปจนถึง ความใส่ใจต่อท้องทะเล การให้ความรู้นักดำน้ำ
เมื่อเราเป็นผู้เริ่มต้นที่ดีแล้ว ค่อยๆ หาโอกาสแนะนำเพื่อนนักดำน้ำ ไปจนถึง leader และร้านดำน้ำที่คุณใช้บริการ (หากเค้ายังไม่บรรลุวุฒิภาวะเพียงพอ) และไปจนถึงให้ข้อมูลแก่ภาครัฐ ถ้าคุณมีโอกาสทำได้
ปล: คุยกับฝรั่งคราใด หรือใครอื่น อัดเทปไว้เป็นหลักฐาน ป้องกันเค้าเอาไปเขียนบทความโต้แย้ง ไม่ตรงกับที่คุยกับเราไว้
เริ่มต้นด้วยตัวเราเองก่อน ...
ถ้าคุณเป็นนักดำน้ำ พยายามเป็นนักดำน้ำที่ดี เรียนรู้โลกใต้ทะเลให้มาก และมีปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างเหมาะสม
เลือกใช้บริการจากร้านดำน้ำที่มีความตั้งใจให้บริการอย่างเรียบร้อย ราบรื่น เหมาะสม (ทั้งคุณภาพ ราคา)
ถ้าคุณเป็น leader พยายามเป็นตัวอย่างที่ดี ให้กับนักดำน้ำที่ตามคุณอยู่
ถ้าคุณเป็นร้านดำน้ำ ยิ่งต้องพยายามจัดระบบระเบียบการบริการของคุณให้เรียบร้อย ทั้งด้าน การบริการ ราคา และความถูกต้องตามกฎระเบียบของรัฐ
ไปจนถึง ความใส่ใจต่อท้องทะเล การให้ความรู้นักดำน้ำ
เมื่อเราเป็นผู้เริ่มต้นที่ดีแล้ว ค่อยๆ หาโอกาสแนะนำเพื่อนนักดำน้ำ ไปจนถึง leader และร้านดำน้ำที่คุณใช้บริการ (หากเค้ายังไม่บรรลุวุฒิภาวะเพียงพอ) และไปจนถึงให้ข้อมูลแก่ภาครัฐ ถ้าคุณมีโอกาสทำได้
ปล: คุยกับฝรั่งคราใด หรือใครอื่น อัดเทปไว้เป็นหลักฐาน ป้องกันเค้าเอาไปเขียนบทความโต้แย้ง ไม่ตรงกับที่คุยกับเราไว้
"อิสระ" จะทำให้ "โอกาส" อยู่กับเราเสมอ
-- พี่ป๊อด พูดไว้ในโฆษณา 1-2-call
-- พี่ป๊อด พูดไว้ในโฆษณา 1-2-call
ปัญหาปากท้องชาวบ้าน เด็กเรือตกหมึก จับปลา ในเขตอุทยาน... มันซับซ้อนเกินกว่าจะบอกให้ใช้กฎระเบียบครอบลงไป แล้ว จับ/ปรับ ใครทุกคนที่ทำอย่างนั้น
ทางออกคงต้องใช้เวลา และที่สำคัญ ความทุ่มเท จากคนที่เราเลือกเค้าไปดูแลบ้านเมือง รวมถึงจนท.รัฐ
ทั้งเรื่อง การศึกษา และ การมีอาชีพมีงานอื่นทำ
ส่วนใหญ่ มาเฟีย อยู่ไม่ไกลหรอก ก็ชาติเดียวกันทั้งนั้นล่ะเนาะ
พูดเรื่องนี้ทีไร มันจะโยงไปไกลเป็นปัญหาบ้านเมืองทู้กที
ทางออกคงต้องใช้เวลา และที่สำคัญ ความทุ่มเท จากคนที่เราเลือกเค้าไปดูแลบ้านเมือง รวมถึงจนท.รัฐ
ทั้งเรื่อง การศึกษา และ การมีอาชีพมีงานอื่นทำ
ส่วนใหญ่ มาเฟีย อยู่ไม่ไกลหรอก ก็ชาติเดียวกันทั้งนั้นล่ะเนาะ
พูดเรื่องนี้ทีไร มันจะโยงไปไกลเป็นปัญหาบ้านเมืองทู้กที
"อิสระ" จะทำให้ "โอกาส" อยู่กับเราเสมอ
-- พี่ป๊อด พูดไว้ในโฆษณา 1-2-call
-- พี่ป๊อด พูดไว้ในโฆษณา 1-2-call