หิ่งห้อยทีอัมพวา
- p'aor
- Advanced Member
- โพสต์: 256
- meble kuchenne - tworzymyatmosfere.pl
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 03, 2008 7:49 pm
แพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซอรอส เหตุน้ำทะเลบางแสนแดง
ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช.
.......................................................................................................................................................................
นักวิชาการเผยปรากฏการน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงที่บางแสน เกิดจากแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซ
อรอส (Chaetoceros spp.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยมีรายงานการสร้างสารพิษมาก่อน พร้อมเตือน
ประชาชนกรณีปลา ปู กุ้ง หอย ตายจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี อาจไม่สามารถนำมาบริโภคได้ทุก
ครั้ง ระบุต้องรอผลการวิเคราะห์ให้แน่ชัดก่อน เพราะแพลงก์ตอนบางชนิดสร้างสารพิษได้
.......................................................................................................................................................................
จากกรณีข่าวน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 12 ตุลาคม บริเวณชายหาดบาง
แสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี จนเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตตายลงจำนวนมากนั้น ผศ.ดร.สมถวิล จริต
ควร ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายว่า เป็นปรากฏการณ์น้ำทะเล
เปลี่ยนสี หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (water discolouration หรือ red tide) เป็นปรากฏการณ์
ธรรมชาติที่เกิดจากการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว(บลูม หรือ Bloom)ของแพลงก์ตอนพืช
เนื่องจากแพลงก์ตอนเหล่านี้ต่างก็มีสีในตัวเอง เมื่อเกิดการเจริญเติบโตจำนวนมาก จึงทำให้สีของน้ำ
ทะเลเปลี่ยนไปตามสีของแพลงก์ตอนชนิดที่มีมากในขณะนั้น เช่น สีแดง เกิดจากแพลงก์ตอนสกุลเซอราเ
ตียม (Ceratium sp.) สีส้มเกิดจากสกุลเพอริดิเนียม(Peridinium sp.) หรือ สีเขียวเกิดจาก
สกุลนอคติลูกา ( Noctiluca sp.) เป็นต้น
คีโตเซอรอส (Chaetoceros spp.)
" ทั้งนี้ผลการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลบางแสนมาวิเคราะห์พบว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
แดงครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการบลูมของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซอรอส (Chaetoceros spp.) ซึ่งเป็น
สาหร่ายขนาดเล็กที่เซลล์มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกต่อกันเป็นสายยาว โดยแต่ละเซลล์จะมีรยางค์ยื่นออก
ทางด้านข้างมุมละ 1 เส้น ( 1 เซลล์มีรยางค์ 4 เส้น) เคลื่อนที่ไม่ได้ อาศัยล่องลอยไปตามกระแส
น้ำ หากอยู่รวมกันจำนวนมากจะเห็นเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลแดง และยังไม่เคยมีรายงานว่าสร้างสาร
พิษ
ส่วนสาเหตุการเกิดปรากฏการณน้ำทะเปลี่ยนสี คาดว่าเกิดจากช่วงนี้มีฝนตกหนักบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการ
ชะล้างเอาแร่ธาตุจากหน้าดินไหลลงสู่ทะเลจำนวนมาก กอปรกับน้ำทิ้งจากบ้านเรือนที่มีปริมาณธาตุอาหาร
เช่น ไนโตรเจนและฟอสเฟตมากอยู่แล้ว จึงยิ่งเหมือนเติมปุ๋ยลงน้ำทะเล ขณะเดียวกันอุณหภูมิ ความเค็ม
ของน้ำทะเล รวมถึงแสงแดดอยู่ในช่วงพอเหมาะจึงทำแพลงก์ตอนให้เกิดการสังเคราะห์แสงและเจริญ
เติบโตอย่างรวดเร็วปกคลุมผิวหน้าน้ำ ดังนั้นเมื่อมีปริมาณแพลงก์ตอนมากก็ยิ่งทำให้มีการใช้ออกซิเจนใน
การหายใจมากตามไปด้วย ออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจึงลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเมื่อแพลงก์ตอนหนาแน่น
เซลล์บางส่วนก็จะตาย แบคทีเรียจะย่อยสลายโดยต้องใช้ออกซิเจนอีก ส่งผลทำให้น้ำเริ่มเน่า สิ่งมีชีวิต
ทั้งในน้ำ สัตว์หน้าดิน และสัตว์ที่ฝังตัวอยู่ตัวในดินเริ่มขาดอากาศหายใจและตายเป็นจำนวนมาก ดังจะ
เห็นว่ามีทั้งปลา ไส้เดือนดิน หอยทับทิม ปูเสฉวน หอยเสียบ ปูม้า ปลาลิ้นหมา ขึ้นมาตายจำนวนมาก"
ผศ.ดร.สมถวิล กล่าวว่า ขณะที่เดินสำรวจพบชาวบ้านมาเก็บปู ปลาเพื่อนำไปประกอบอาหารจำนวน
มาก จึงอยากเตือนว่าไม่สามารถทำได้เช่นนี้ทุกครั้งไป เพราะแม้ว่าการบลูมของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซ
อรอส ครั้งนี้จะไม่มีพิษ แต่ในน้ำทะเลมีแพลงก์ตอนมากกว่า 5,000 ชนิด ซึ่งชนิดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์
น้ำทะเลเปลี่ยนสีมีถึง 300 ชนิด และในจำนวนนั้นมีกว่า 40 ชนิดที่ผลิตสารพิษได้ โดยสารพิษนี้จะเข้าสู่
ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้จากการที่สัตว์น้ำกินแพลงก์ตอนพืชกลุ่มนี้เข้าไป พิษจะถูกสะสมอยู่ในตัวของสัตว์
ทะเล เช่น หอย โดยที่ไม่เกิดอันตราย แต่จะไปมีผลต่อผู้บริโภคแทน ทั้งนี้พิษบางชนิดรุนแรงถึงขึ้นเสีย
ชีวิตได้ อาทิ พิษอัมพาตในหอย (paralytic shellfish poison, PSP) เกิดจากการบริโภคหอย
สองฝา เช่น หอยแมลงภู่ และหอยนางรมที่กรองแพลงก์ตอนพืชบางชนิดของกลุ่มอเล็กซานเดรียม (
Alexandrium sp.) หรือกลุ่มไพโรดิเนียม (Pyrodinium sp.) เป็นต้น แพลงก์ตอนเหล่านี้จะ
สร้างสารพิษต่อระบบประสาท ที่สำคัญสารพิษนี้ละลายได้ในน้ำ และมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนที่ใช้ในการ
ปรุงอาหาร จึงไม่สามารถทำลายด้วยการหุงต้ม โดยผู้ที่ได้รับสารพิษจะมีอาการชาบริเวณปาก ลิ้น และ
ปลายนิ้ว หายใจลำบาก กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และอาจเสียชีวิตเนื่องจากการล้มเหลวของระบบหายใจ
เป็นต้น
ทั้งนี้ในเมืองไทยได้มีรายงานการเกิดน้ำแดงที่เป็นพิษอัมพาต(PSP) ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ
.2526 โดยเกิดที่ปากแม่น้ำปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ป่วย 63 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
เนื่องจากกินหอยแมลงภู่ที่จับมาจากบริเวณที่เกิดน้ำแดง ในปัจจุบันถึงแม้จะมีรายงานการเกิดน้ำแดงบ้าง
แต่ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษเกิดขึ้นอีก แต่ก็ควรระมัดระวัง ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดกรณีเช่นนี้จึงต้องรอให้มี
การตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าสาเหตุที่ปลาตายจำนวนมากเป็นเกิดจากอะไร เป็นกลุ่มแพลงก์ตอนที่มีพิษ
หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเอง
////////////////////////////////////////////////
หมายเหตุ กรุณาทำตัวเอียงคำว่า Ceratium , Peridinium ,Noctiluca, Chaetoceros
Alexandrium, Pyrodinium เนื่องจากเป็นชื่อวิทยาศาสตร์
ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช.
.......................................................................................................................................................................
นักวิชาการเผยปรากฏการน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงที่บางแสน เกิดจากแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซ
อรอส (Chaetoceros spp.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยมีรายงานการสร้างสารพิษมาก่อน พร้อมเตือน
ประชาชนกรณีปลา ปู กุ้ง หอย ตายจากปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี อาจไม่สามารถนำมาบริโภคได้ทุก
ครั้ง ระบุต้องรอผลการวิเคราะห์ให้แน่ชัดก่อน เพราะแพลงก์ตอนบางชนิดสร้างสารพิษได้
.......................................................................................................................................................................
จากกรณีข่าวน้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 12 ตุลาคม บริเวณชายหาดบาง
แสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี จนเป็นเหตุให้สิ่งมีชีวิตตายลงจำนวนมากนั้น ผศ.ดร.สมถวิล จริต
ควร ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา อธิบายว่า เป็นปรากฏการณ์น้ำทะเล
เปลี่ยนสี หรือปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (water discolouration หรือ red tide) เป็นปรากฏการณ์
ธรรมชาติที่เกิดจากการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว(บลูม หรือ Bloom)ของแพลงก์ตอนพืช
เนื่องจากแพลงก์ตอนเหล่านี้ต่างก็มีสีในตัวเอง เมื่อเกิดการเจริญเติบโตจำนวนมาก จึงทำให้สีของน้ำ
ทะเลเปลี่ยนไปตามสีของแพลงก์ตอนชนิดที่มีมากในขณะนั้น เช่น สีแดง เกิดจากแพลงก์ตอนสกุลเซอราเ
ตียม (Ceratium sp.) สีส้มเกิดจากสกุลเพอริดิเนียม(Peridinium sp.) หรือ สีเขียวเกิดจาก
สกุลนอคติลูกา ( Noctiluca sp.) เป็นต้น
คีโตเซอรอส (Chaetoceros spp.)
" ทั้งนี้ผลการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลบางแสนมาวิเคราะห์พบว่า ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
แดงครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการบลูมของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซอรอส (Chaetoceros spp.) ซึ่งเป็น
สาหร่ายขนาดเล็กที่เซลล์มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกต่อกันเป็นสายยาว โดยแต่ละเซลล์จะมีรยางค์ยื่นออก
ทางด้านข้างมุมละ 1 เส้น ( 1 เซลล์มีรยางค์ 4 เส้น) เคลื่อนที่ไม่ได้ อาศัยล่องลอยไปตามกระแส
น้ำ หากอยู่รวมกันจำนวนมากจะเห็นเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลแดง และยังไม่เคยมีรายงานว่าสร้างสาร
พิษ
ส่วนสาเหตุการเกิดปรากฏการณน้ำทะเปลี่ยนสี คาดว่าเกิดจากช่วงนี้มีฝนตกหนักบ่อยครั้ง ทำให้เกิดการ
ชะล้างเอาแร่ธาตุจากหน้าดินไหลลงสู่ทะเลจำนวนมาก กอปรกับน้ำทิ้งจากบ้านเรือนที่มีปริมาณธาตุอาหาร
เช่น ไนโตรเจนและฟอสเฟตมากอยู่แล้ว จึงยิ่งเหมือนเติมปุ๋ยลงน้ำทะเล ขณะเดียวกันอุณหภูมิ ความเค็ม
ของน้ำทะเล รวมถึงแสงแดดอยู่ในช่วงพอเหมาะจึงทำแพลงก์ตอนให้เกิดการสังเคราะห์แสงและเจริญ
เติบโตอย่างรวดเร็วปกคลุมผิวหน้าน้ำ ดังนั้นเมื่อมีปริมาณแพลงก์ตอนมากก็ยิ่งทำให้มีการใช้ออกซิเจนใน
การหายใจมากตามไปด้วย ออกซิเจนที่อยู่ในน้ำจึงลดลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งเมื่อแพลงก์ตอนหนาแน่น
เซลล์บางส่วนก็จะตาย แบคทีเรียจะย่อยสลายโดยต้องใช้ออกซิเจนอีก ส่งผลทำให้น้ำเริ่มเน่า สิ่งมีชีวิต
ทั้งในน้ำ สัตว์หน้าดิน และสัตว์ที่ฝังตัวอยู่ตัวในดินเริ่มขาดอากาศหายใจและตายเป็นจำนวนมาก ดังจะ
เห็นว่ามีทั้งปลา ไส้เดือนดิน หอยทับทิม ปูเสฉวน หอยเสียบ ปูม้า ปลาลิ้นหมา ขึ้นมาตายจำนวนมาก"
ผศ.ดร.สมถวิล กล่าวว่า ขณะที่เดินสำรวจพบชาวบ้านมาเก็บปู ปลาเพื่อนำไปประกอบอาหารจำนวน
มาก จึงอยากเตือนว่าไม่สามารถทำได้เช่นนี้ทุกครั้งไป เพราะแม้ว่าการบลูมของแพลงก์ตอนกลุ่มคีโตเซ
อรอส ครั้งนี้จะไม่มีพิษ แต่ในน้ำทะเลมีแพลงก์ตอนมากกว่า 5,000 ชนิด ซึ่งชนิดที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์
น้ำทะเลเปลี่ยนสีมีถึง 300 ชนิด และในจำนวนนั้นมีกว่า 40 ชนิดที่ผลิตสารพิษได้ โดยสารพิษนี้จะเข้าสู่
ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้จากการที่สัตว์น้ำกินแพลงก์ตอนพืชกลุ่มนี้เข้าไป พิษจะถูกสะสมอยู่ในตัวของสัตว์
ทะเล เช่น หอย โดยที่ไม่เกิดอันตราย แต่จะไปมีผลต่อผู้บริโภคแทน ทั้งนี้พิษบางชนิดรุนแรงถึงขึ้นเสีย
ชีวิตได้ อาทิ พิษอัมพาตในหอย (paralytic shellfish poison, PSP) เกิดจากการบริโภคหอย
สองฝา เช่น หอยแมลงภู่ และหอยนางรมที่กรองแพลงก์ตอนพืชบางชนิดของกลุ่มอเล็กซานเดรียม (
Alexandrium sp.) หรือกลุ่มไพโรดิเนียม (Pyrodinium sp.) เป็นต้น แพลงก์ตอนเหล่านี้จะ
สร้างสารพิษต่อระบบประสาท ที่สำคัญสารพิษนี้ละลายได้ในน้ำ และมีคุณสมบัติทนต่อความร้อนที่ใช้ในการ
ปรุงอาหาร จึงไม่สามารถทำลายด้วยการหุงต้ม โดยผู้ที่ได้รับสารพิษจะมีอาการชาบริเวณปาก ลิ้น และ
ปลายนิ้ว หายใจลำบาก กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต และอาจเสียชีวิตเนื่องจากการล้มเหลวของระบบหายใจ
เป็นต้น
ทั้งนี้ในเมืองไทยได้มีรายงานการเกิดน้ำแดงที่เป็นพิษอัมพาต(PSP) ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ
.2526 โดยเกิดที่ปากแม่น้ำปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ป่วย 63 ราย และเสียชีวิต 1 ราย
เนื่องจากกินหอยแมลงภู่ที่จับมาจากบริเวณที่เกิดน้ำแดง ในปัจจุบันถึงแม้จะมีรายงานการเกิดน้ำแดงบ้าง
แต่ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษเกิดขึ้นอีก แต่ก็ควรระมัดระวัง ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดกรณีเช่นนี้จึงต้องรอให้มี
การตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าสาเหตุที่ปลาตายจำนวนมากเป็นเกิดจากอะไร เป็นกลุ่มแพลงก์ตอนที่มีพิษ
หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนเอง
////////////////////////////////////////////////
หมายเหตุ กรุณาทำตัวเอียงคำว่า Ceratium , Peridinium ,Noctiluca, Chaetoceros
Alexandrium, Pyrodinium เนื่องจากเป็นชื่อวิทยาศาสตร์
ไมค์ไก่ไร้หัวไมค์ ตำนานไก่ไร้หัว ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ หลังจากที่คอถูกตัดขาดจากตัวได้นานถึง 18 เดือน!!!
เรื่องราวเกิดขึ้นวันที่ 10 กันยายน 2488
เมื่อนายลอยด์ ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มไก่แห่งหนึ่ง ในฟรูอิทา
รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐฯ
ลงมือเชือดไก่ เพื่อนำไปขายที่ตลาดและเป็นอาหารมื้อเย็น
...
เย็นวันนั้นสามีภรรยาครอบครัวโอลเซ่น ( Olsen)
ตั้งใจจะทำเมนูไก่เป็นอาหารมื้อค่ำ
โดยเจ้าไมค์คือไก่เคราะห์ร้ายที่คู่สามีภรรยาเลือกเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารขึ้นโต๊ะ
แต่เมื่อนายโอลเซ่นได้ลงคมมีดฟันคอเจ้าไมค์ฉับ!!!
เลือดไก่กระจายลงเขียง
และท่ามกลางกองเลือดไก่และเศษขนไก่นั้น
นายโอลเซ่นก็ต้องตะลึงพรึงเพริด
เมื่อเจ้าไมค์ที่ไม่มีหัวนั้นยังไม่ตายแถมโดดลงจากเขียงและพยายามจะวิ่งหนีไป
ทีนี้นายโอลเซ่นเลยหมดความต้องการจะกินเจ้าไมค์ในทันใด (กินลงอีกก็แปลกล่ะ)
ก็เลยเอาเจ้าไมค์ไปเก็บไว้ในเล้าตามเดิม
ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว
แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง!
เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ
โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร
การดำรงอยู่ของไมค์
สร้างความแปลกใจให้กับลอยด์อย่างยิ่ง
เขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้าไมค์ไก่ยอดทรหด
ลอยด์รู้ได้ทันทีว่า " เจ้าไก่ตัวนี้ไม่ธรรมดา " เป็นแน่แท้
มันพยายามดำรงชีวิตตามปกติ เช่น กระโดดขึ้นไปขันในตอนเช้า (ทั้งที่ไม่มีหัว) บนขื่อสูงๆ
(มันกระโดดปีนไปเกาะถูกได้ไงฟระ ???)
และพยายามไซร้ขนเพื่อกำจัดเห็บไร
ซึ่งเป็นปรสิตสามัญประจำตัวไก่
ส่วนลอยด์ก็ให้อาหารแก่ไมค์ด้วยการใช้หลอดยาหยอดตามาหยอดข้าวและน้ำลงไปผ่านลำคอของไมค์
จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
ไมค์ยังคงสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งที่หัวถูกดองอยู่ในขวดโหล
ด้วยความสงสัย เขาจึงพาไมค์ไปที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ซอลท์เลกซิตี้
ห่างจากบ้านเขาประมาณ 400 กิโลเมตร
ท่ามกลางความงงเต็กของบรรดานักวิทยาศาสตร์
แต่ก็ยังพอมีคำอธิบายเหตุการณ์ประหลาดได้ว่า.......
"เอ่อ......อันเนื่องมาจากตอนที่คุณลอยด์จามขวานลงมาบนคอของไมค์นั้น
คมขวานไม่ได้ตัดตรงเส้นเลือดใหญ่ที่คอของมัน
ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วพอที่จะอุดรอยแผลและไม่เสียเลือดจนดับสิ้นสิ้นชีวาวาย
ถึงมันจะอยู่ในสภาพไม่มีหัวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตมากนัก
ก็เพราะสมองส่วนใหญ่อยู่บนตัวของมัน ซึ่งสั่งการขั้นพื้นฐานอย่างการหายใจ
ควบคุมการเต้นของหัวใจและปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ยังอยู่พร้อมกับหูข้างซ้ายครับ "
เมื่อเป็นดังนั้นลอยด์มองเห็นลู่ทางหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองจากไมค์
ไก่ไร้หัวชัดขึ้น โดยไม่ต้องปรับจูนอะไร
เขานำเจ้าไมค์เดินสายโชว์ตัวทั่วอเมริกา
เก็บค่าเข้าชมเหนาะๆ แค่คนละ 25 เซ็นต์
ไมค์ ไก่มหัศจรรย์ (Miracle Mike) เป็นสมญานามใหม่ของไมค์ซึ่งลอยด์ตั้งให้กับมัน
ลอยด์ตั้งค่าตัว (รวมส่วนหัวที่อยู่ในขวดดอง) ไว้ที่
10,000 ดอลล์ (มากพอดูสำหรับค่าเงินเมื่อ 63 ปีก่อน)
แถมพกด้วยลอยด์ทำประกันชีวิตให้ไมค์ถึง 10,000 ดอลล์เช่นกัน
นอกจากนี้เจ้าไมค์ยังเป็นนายแบบและเรื่องราวลงตีแผ่บนหนังสือดังๆ
เช่น ไลฟ์แม็กกาซีน นิตยสารไทม์ และกินเนสบุ๊คเป็นต้น
เมื่อมีดารานำดังซะขนาดนี้
พฤติกรรมเลียนแบบดาราก็ติดตามมาเช่นกันทันทีที่ข่าวกระจายออกไป
หลายคนพยายามลอกเลียนแบบลอยด์
แต่ก็เกือบมีคนเลียนแบบสำเร็จ
เมื่อชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
แต่อยากดังแบบเดียวกับลอยด์บ้าง
เขาเปิดเผยว่าเจ้าลักกี้ ( Lucky)
ไก่ของเขาก็แสดงปาฏิหารย์แบบเดียวกันกับไมค์
แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 11 วัน
ซึ่งเจ้าลักกี้กลับไม่ชำนาญกับการใช้ชีวิตแบบไร้หัว
มันเข้าไปติดอยู่ในปล่องไฟตายอย่างอนาถ
พอถึงบทจะตายไมค์กลับต้องมาตายแบบง่ายดายเกินคาด
หลังจากที่ไมค์เดินสายโชว์ตัว (หัวไม่เกี่ยว)
ลอยด์กับไมค์แวะพักที่โรงแรมอริโซน่า
ขณะที่พักในคืนนั้น เม็ดข้าวโพดดันไปติดอยู่ในหลอดลมกระทันหัน
อันที่จริงลอยด์ประสบเหตุการณ์แนวๆนี้บ่อยมาก และก็ช่วยได้ทุกครั้ง
แต่มาครานี้ พระเจ้ากลับไม่เข้าข้าง
ท่านเห็นสมควรดึงไมค์ขึ้นมาโชว์ตัวบนสวรรค์เสียที ประจวบเหมาะกับลอยด์หาที่หยอดตาไม่เจอ ไมค์จึงลาออกจากการเป็นสิ่งมีชีวิตไร้หัวในคืนนั้น
รวมไมค์ดำรงชีวิตแบบไม่ต้องใช้หัวได้นานถึง 18 เดือน
แม้นเหตุการณ์จะผันผ่านมาแล้วหลายปีดีดัก
แต่ชาวเมืองฟรูอิทายังรักและคิดถึงมัน
ต่อมานายแซลลี่ เอดิงตัน (Sally Edinton) ผ.อ.สภาหอการค้าเมืองฟรูอิทา
กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี
เป็นวันไมค์ ไก่ไร้หัว ( Mike The Headless Chicken Day)
ท่ามกลางความเห็นชอบของชาวเมือง
จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542
ซึ่งมีเหตุผลนอกเหนือจากระลึกถึงเจ้าไมค์แล้ว
ยังสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลก
แม้จะมีอุปสรรคมากเพียงใดก็ตาม
แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสาร TIME
มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย
ยังผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุกวันแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ
และในช่วงสุดท้ายของชีวิตของไมค์ตายโดยเมล็ดข้าวโพดเข้าไปติดหลอดลมตายซึ่งนับจากวันที่หัวขาดจนวันตายนับได้ประมาณ
18 เดือนพอดี
พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมากเลยจัดตั้งวัน " ไมค์ไก่ไร้หัว ( Mike the headless Chicken Day)"
ขึ้นมาทุกๆปี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวเกิดขึ้นวันที่ 10 กันยายน 2488
เมื่อนายลอยด์ ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มไก่แห่งหนึ่ง ในฟรูอิทา
รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐฯ
ลงมือเชือดไก่ เพื่อนำไปขายที่ตลาดและเป็นอาหารมื้อเย็น
...
เย็นวันนั้นสามีภรรยาครอบครัวโอลเซ่น ( Olsen)
ตั้งใจจะทำเมนูไก่เป็นอาหารมื้อค่ำ
โดยเจ้าไมค์คือไก่เคราะห์ร้ายที่คู่สามีภรรยาเลือกเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารขึ้นโต๊ะ
แต่เมื่อนายโอลเซ่นได้ลงคมมีดฟันคอเจ้าไมค์ฉับ!!!
เลือดไก่กระจายลงเขียง
และท่ามกลางกองเลือดไก่และเศษขนไก่นั้น
นายโอลเซ่นก็ต้องตะลึงพรึงเพริด
เมื่อเจ้าไมค์ที่ไม่มีหัวนั้นยังไม่ตายแถมโดดลงจากเขียงและพยายามจะวิ่งหนีไป
ทีนี้นายโอลเซ่นเลยหมดความต้องการจะกินเจ้าไมค์ในทันใด (กินลงอีกก็แปลกล่ะ)
ก็เลยเอาเจ้าไมค์ไปเก็บไว้ในเล้าตามเดิม
ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว
แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง!
เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ
โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร
การดำรงอยู่ของไมค์
สร้างความแปลกใจให้กับลอยด์อย่างยิ่ง
เขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้าไมค์ไก่ยอดทรหด
ลอยด์รู้ได้ทันทีว่า " เจ้าไก่ตัวนี้ไม่ธรรมดา " เป็นแน่แท้
มันพยายามดำรงชีวิตตามปกติ เช่น กระโดดขึ้นไปขันในตอนเช้า (ทั้งที่ไม่มีหัว) บนขื่อสูงๆ
(มันกระโดดปีนไปเกาะถูกได้ไงฟระ ???)
และพยายามไซร้ขนเพื่อกำจัดเห็บไร
ซึ่งเป็นปรสิตสามัญประจำตัวไก่
ส่วนลอยด์ก็ให้อาหารแก่ไมค์ด้วยการใช้หลอดยาหยอดตามาหยอดข้าวและน้ำลงไปผ่านลำคอของไมค์
จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป
ไมค์ยังคงสภาพเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งที่หัวถูกดองอยู่ในขวดโหล
ด้วยความสงสัย เขาจึงพาไมค์ไปที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ ซอลท์เลกซิตี้
ห่างจากบ้านเขาประมาณ 400 กิโลเมตร
ท่ามกลางความงงเต็กของบรรดานักวิทยาศาสตร์
แต่ก็ยังพอมีคำอธิบายเหตุการณ์ประหลาดได้ว่า.......
"เอ่อ......อันเนื่องมาจากตอนที่คุณลอยด์จามขวานลงมาบนคอของไมค์นั้น
คมขวานไม่ได้ตัดตรงเส้นเลือดใหญ่ที่คอของมัน
ทำให้เลือดแข็งตัวเร็วพอที่จะอุดรอยแผลและไม่เสียเลือดจนดับสิ้นสิ้นชีวาวาย
ถึงมันจะอยู่ในสภาพไม่มีหัวที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตมากนัก
ก็เพราะสมองส่วนใหญ่อยู่บนตัวของมัน ซึ่งสั่งการขั้นพื้นฐานอย่างการหายใจ
ควบคุมการเต้นของหัวใจและปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าก็ยังอยู่พร้อมกับหูข้างซ้ายครับ "
เมื่อเป็นดังนั้นลอยด์มองเห็นลู่ทางหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองจากไมค์
ไก่ไร้หัวชัดขึ้น โดยไม่ต้องปรับจูนอะไร
เขานำเจ้าไมค์เดินสายโชว์ตัวทั่วอเมริกา
เก็บค่าเข้าชมเหนาะๆ แค่คนละ 25 เซ็นต์
ไมค์ ไก่มหัศจรรย์ (Miracle Mike) เป็นสมญานามใหม่ของไมค์ซึ่งลอยด์ตั้งให้กับมัน
ลอยด์ตั้งค่าตัว (รวมส่วนหัวที่อยู่ในขวดดอง) ไว้ที่
10,000 ดอลล์ (มากพอดูสำหรับค่าเงินเมื่อ 63 ปีก่อน)
แถมพกด้วยลอยด์ทำประกันชีวิตให้ไมค์ถึง 10,000 ดอลล์เช่นกัน
นอกจากนี้เจ้าไมค์ยังเป็นนายแบบและเรื่องราวลงตีแผ่บนหนังสือดังๆ
เช่น ไลฟ์แม็กกาซีน นิตยสารไทม์ และกินเนสบุ๊คเป็นต้น
เมื่อมีดารานำดังซะขนาดนี้
พฤติกรรมเลียนแบบดาราก็ติดตามมาเช่นกันทันทีที่ข่าวกระจายออกไป
หลายคนพยายามลอกเลียนแบบลอยด์
แต่ก็เกือบมีคนเลียนแบบสำเร็จ
เมื่อชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม
แต่อยากดังแบบเดียวกับลอยด์บ้าง
เขาเปิดเผยว่าเจ้าลักกี้ ( Lucky)
ไก่ของเขาก็แสดงปาฏิหารย์แบบเดียวกันกับไมค์
แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง 11 วัน
ซึ่งเจ้าลักกี้กลับไม่ชำนาญกับการใช้ชีวิตแบบไร้หัว
มันเข้าไปติดอยู่ในปล่องไฟตายอย่างอนาถ
พอถึงบทจะตายไมค์กลับต้องมาตายแบบง่ายดายเกินคาด
หลังจากที่ไมค์เดินสายโชว์ตัว (หัวไม่เกี่ยว)
ลอยด์กับไมค์แวะพักที่โรงแรมอริโซน่า
ขณะที่พักในคืนนั้น เม็ดข้าวโพดดันไปติดอยู่ในหลอดลมกระทันหัน
อันที่จริงลอยด์ประสบเหตุการณ์แนวๆนี้บ่อยมาก และก็ช่วยได้ทุกครั้ง
แต่มาครานี้ พระเจ้ากลับไม่เข้าข้าง
ท่านเห็นสมควรดึงไมค์ขึ้นมาโชว์ตัวบนสวรรค์เสียที ประจวบเหมาะกับลอยด์หาที่หยอดตาไม่เจอ ไมค์จึงลาออกจากการเป็นสิ่งมีชีวิตไร้หัวในคืนนั้น
รวมไมค์ดำรงชีวิตแบบไม่ต้องใช้หัวได้นานถึง 18 เดือน
แม้นเหตุการณ์จะผันผ่านมาแล้วหลายปีดีดัก
แต่ชาวเมืองฟรูอิทายังรักและคิดถึงมัน
ต่อมานายแซลลี่ เอดิงตัน (Sally Edinton) ผ.อ.สภาหอการค้าเมืองฟรูอิทา
กำหนดให้วันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี
เป็นวันไมค์ ไก่ไร้หัว ( Mike The Headless Chicken Day)
ท่ามกลางความเห็นชอบของชาวเมือง
จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2542
ซึ่งมีเหตุผลนอกเหนือจากระลึกถึงเจ้าไมค์แล้ว
ยังสร้างแรงบันดาลใจสำหรับการมีชีวิตอยู่บนโลก
แม้จะมีอุปสรรคมากเพียงใดก็ตาม
แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสาร TIME
มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย
ยังผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุกวันแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ
และในช่วงสุดท้ายของชีวิตของไมค์ตายโดยเมล็ดข้าวโพดเข้าไปติดหลอดลมตายซึ่งนับจากวันที่หัวขาดจนวันตายนับได้ประมาณ
18 เดือนพอดี
พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมากเลยจัดตั้งวัน " ไมค์ไก่ไร้หัว ( Mike the headless Chicken Day)"
ขึ้นมาทุกๆปี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน